การเตรียมความพร้อมข้อมูลสำหรับการประเมิน ESG
สถาบันไทยพัฒน์ ได้มีการจัดงาน Thaipat Runners-up 2025 Online Forum เป็นครั้งที่ 7 ในรูปแบบ Webinar ภายใต้ชื่อหัวข้อ "ESG Data Readiness Check" ให้แก่องค์กรที่ได้รับเชิญ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืนของกิจการ และต้องการที่จะยกระดับการจัดทำข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) อย่างเป็นระบบ
ด้วยเหตุที่ ปัจจุบัน การเปิดเผยข้อมูล ESG ได้กลายเป็นบรรทัดฐานสำหรับบริษัทจดทะเบียนในการรายงานผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของกิจการต่อสาธารณะ ซึ่งข้อมูล ESG ที่บริษัทเปิดเผยดังกล่าว จะเป็นที่ยอมรับมากยิ่งขึ้น หากได้รับการรับรองจากผู้ประเมินอิสระที่เป็นหน่วยงานภายนอกที่มีความน่าเชื่อถือ
บริษัทจดทะเบียนซึ่งประสงค์จะแสดงสถานะของกิจการวิถียั่งยืนด้วยประเด็นด้าน ESG ต่างต้องการได้รับผลคะแนนประเมินที่ดีจากผู้ประเมินอิสระภายนอก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ทั้งกับผู้ลงทุนต่อการใช้ข้อมูล ESG ประกอบการพิจารณาตัดสินใจลงทุน รวมทั้งกับลูกค้า คู่ค้า สถาบันการเงิน หน่วยงานรัฐ ชุมชน ฯ ที่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในวงกว้าง
การเตรียมความพร้อมข้อมูล ESG เพื่อการเผยแพร่เป็นข้อมูลสาธารณะที่หน่วยงานผู้ประเมินจะใช้ในการวิเคราะห์ได้อย่างครบถ้วนเพียงพอ จึงมีส่วนสำคัญที่ทำให้ผลประเมินสะท้อนสิ่งที่องค์กรดำเนินการตามความเป็นจริง ไม่เสียโอกาสในลักษณะที่บริษัทมีการดำเนินการอยู่จริง แต่ขาดการจัดทำข้อมูลเผยแพร่ หรือมีการเผยแพร่เพียงบางส่วน เป็นเหตุให้หน่วยงานผู้ประเมินไม่สามารถประเมินเพื่อให้คะแนนได้เต็มที่
โดยการจัดงานฟอรัมในครั้งนี้ ประกอบด้วย เนื้อหา 2 ส่วน ได้แก่ การตรวจสอบความพร้อมข้อมูล ESG ของบริษัท ตามมาตรฐานการรายงานที่เป็นสากล (ESG Data Readiness Check: From Rendering to Aligning) และตัวอย่างการตรวจสอบความพร้อมข้อมูล ESG ที่เชื่อมโยงกับเกณฑ์ชี้วัดของผู้ประเมินและจัดระดับ ESG (Example of ESG Data Readiness Score: Mapping to ESG Raters’ Criteria)
เนื้อหาในส่วนแรก เป็นการให้ความรู้แก่องค์กร ต่อการให้น้ำหนักข้อมูลที่สำคัญ (Rendering) โดยใช้การวิเคราะห์สารัตถภาพ หรือความเป็นสาระสำคัญของสิ่งที่พิจารณา ในที่นี้ คือ ชุดข้อมูลความเสี่ยงและโอกาสเกี่ยวกับความยั่งยืนที่ส่งผลทางการเงินต่อกิจการ และชุดข้อมูลผลกระทบเกี่ยวกับความยั่งยืนที่เกิดจากการดำเนินงานของกิจการและส่งผลสู่ภายนอก
ในการเตรียมข้อมูล ESG องค์กรต้องสามารถแจกแจงให้ได้ว่า ประเด็นสาระสำคัญด้านความยั่งยืนของกิจการมีอะไรบ้าง และมีประเด็นใดที่มีนัยสำคัญ (เชิงการเงิน) ต่อผู้ใช้ข้อมูลที่เป็นกลุ่มผู้ลงทุน และประเด็นใดที่มีนัยสำคัญ (เชิงผลกระทบ) ต่อผู้ใช้ข้อมูลที่เป็นกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียในวงกว้าง ซึ่งชุดข้อมูลเหล่านี้จะถูกเรียกว่า สาระสำคัญสองนัย (Double Materiality) หรือใช้อีกชื่อหนึ่งว่า “ทวิสารัตถภาพ”
ความจำเป็นที่องค์กรต้องจัดเตรียมข้อมูลที่เป็นสาระสำคัญสองนัยนี้ เนื่องจาก หน่วยงานผู้ประเมินและจัดระดับ ESG ชั้นนำในระดับสากล (เช่น S&P Global) ได้หันมาใช้แนวทางการประเมินด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลแบบทวิสารัตถภาพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ถัดมา องค์กรจะต้องมีความสามารถในการติดป้ายระบุเนื้อหา (Tagging) ที่เผยแพร่ต่อสาธารณะ ซึ่งแต่เดิมเน้นไปที่ให้คนอ่าน (Human-readable) เพิ่มเป็นการอำนวยความสะดวกให้สามารถประมวลผลข้อมูลหรืออ่านด้วยเครื่อง (Machine-readable) เพื่อรองรับการเผยแพร่ในรูปแบบของการรายงานดิจิทัล (Digital Reporting) ที่มิใช่การแปลงเป็นแฟ้มหรือเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (เช่น ไฟล์ pdf) ซึ่งเพียงรองรับให้คนอ่าน แต่ต้องเป็นการใช้ภาษาหรือการลงรหัสคอมพิวเตอร์ (เช่น XBRL) โดยอ้างอิงการแบ่งหมวดหมู่ของประเด็นความยั่งยืนตามมาตรฐานการรายงานที่เป็นสากล (เช่น GRI และ IFRS Taxonomy) ในการติดป้ายระบุเนื้อหาที่เผยแพร่
ความจำเป็นที่องค์กรต้องเตรียมพร้อมจัดทำเป็นรายงานดิจิทัลนี้ เนื่องจาก พัฒนาการที่จะมีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการประมวลข้อมูล ESG ของกิจการกำลังเกิดขึ้น และจะเข้ามาแทนที่การจัดทำรายงานความยั่งยืนด้วยมือหรือใช้คนทำ องค์กรจึงต้องเตรียมพร้อมข้อมูล ESG ที่จะเผยแพร่ ให้สามารถประมวลผลข้อมูลหรืออ่านด้วยเครื่องได้
หลังจากนั้น องค์กรควรพิจารณาการวางแนวเนื้อหาให้สอดคล้องกับเกณฑ์ประเมิน (Aligning) ของหน่วยงานผู้ประเมินและจัดระดับ ESG ที่องค์กรเลือกเข้าร่วมรับการประเมิน เพราะผู้ประเมินในแต่ละสำนักจะมีชุดเกณฑ์ประเมินและตัวชี้วัดที่แตกต่างกัน แม้ว่าหลักการประเมินที่แต่ละสำนักใช้จะมีความคล้ายคลึงกันก็ตาม
ความจำเป็นที่องค์กรต้องจัดวางแนวเนื้อหาให้สอดคล้องกับเกณฑ์ประเมิน ก็เพื่อให้ได้ผลประเมินที่ดี มีระดับคะแนนที่สามารถนำไปสื่อสารและประชาสัมพันธ์ได้อย่างภาคภูมิใจ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุน เข้าถึงตลาดใหม่ ๆ รวมทั้งการยอมรับจากผู้มีส่วนได้เสียของกิจการ จากการได้รับการจัดระดับจากผู้ประเมินภายนอกซึ่งมีความน่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ดี จุดยืนที่องค์กรพึงมี คือ ต้องตระหนักว่า การที่องค์กรขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืนและจัดทำข้อมูล ESG เพื่อเผยแพร่ มิได้เป็นไปเพียงเพื่อให้ได้คะแนนดีจากผู้ประเมิน แต่ควรทำเพื่อให้องค์กรเติบโตและยั่งยืน เกิดประโยชน์แก่ผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียของกิจการโดยรวม องค์กรจึงต้องยึดประเด็นด้านความยั่งยืนที่กิจการลงความเห็นแล้วว่าเป็นประเด็นสาระสำคัญ มาเป็นหลักในการดำเนินงาน มิใช่ยึดเกณฑ์ประเมินและตัวชี้วัดของผู้ประเมินภายนอกมาเป็นสรณะในการดำเนินการ
ทั้งนี้ เพราะการจัดทำเกณฑ์ประเมินและตัวชี้วัดของผู้ประเมิน โดยธรรมชาติ ต้องถูกออกแบบให้ครอบคลุมในทุกประเด็นความยั่งยืนที่ผู้ประเมินจะต้องกำหนดไว้ในระเบียบวิธี (Methodology) ที่ใช้ประเมิน ซึ่งในความเป็นจริง ไม่ใช่ทุกประเด็นความยั่งยืนที่ผู้ประเมินใช้ จะเป็นประเด็นสาระสำคัญในบริบทของกิจการ (แม้ผู้ประเมินจะมีชุดตัวชี้วัดที่ใช้เฉพาะรายสาขาก็ตาม)
สำหรับองค์กรที่เริ่มขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืนและเพิ่งมีการจัดทำข้อมูล ESG เผยแพร่ อาจจะได้รับประโยชน์จากการเข้ารับการประเมิน ในกรณีที่องค์กรยังไม่สามารถระบุประเด็นความยั่งยืนที่เป็นสาระสำคัญของกิจการได้อย่างแน่ชัด เกณฑ์ประเมินและตัวชี้วัดของผู้ประเมินจะช่วยชี้แนะแนวทางในการระบุประเด็นความยั่งยืนที่เกี่ยวข้อง และใช้เป็นข้อมูลนำเข้าในการศึกษาเรียนรู้เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ตามบริบทที่เหมาะสมแก่องค์กรเป็นลำดับ
เนื้อหาในส่วนที่สอง เป็นการนำเสนอตัวอย่างการตรวจสอบความพร้อมข้อมูล ESG ที่เชื่อมโยงกับเกณฑ์ชี้วัดของผู้ประเมินและจัดระดับ ESG จำนวน 3 แห่ง ประกอบด้วย 1) ESG Rating ในกำกับของสถาบันไทยพัฒน์ 2) FTSE Russell ของตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน (LSEG) และ 3) S&P Global ผู้จัดทำดัชนีดาวโจนส์ (DJI)
กล่าวโดยสรุป ประโยชน์ที่ได้รับสำหรับองค์กรที่เข้าร่วมงานครั้งนี้ คือ การล่วงรู้สถานะด้านการเปิดเผยข้อมูล ESG ในปัจจุบันของกิจการ ตามมาตรฐานการรายงานที่เป็นสากล และแนวทางการเชื่อมโยงประเด็นความยั่งยืนของกิจการกับเกณฑ์ชี้วัดของหน่วยงานผู้ประเมินและจัดระดับ ESG ที่น่าเชื่อถือ โดยสามารถต่อยอดไปสู่การปิดช่องว่าง (Gap) ในรายงานความยั่งยืนที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะได้อย่างตรงจุดและสอดคล้องกับบริบทของกิจการ
[Original Link]











