Thaipat Institute

GRI Certified Training Partner นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2556

รู้จัก    CG   ¦   ESG   ¦   CSR   ¦   CSV   ¦   SD   ¦   SE   ¦   SB

ReportLM: ตัวแบบภาษารายงาน

เครื่องมือ AI สำหรับร่างรายงานความยั่งยืนทางการเงิน


นับจากที่โลกธุรกิจได้คิดค้นวิธีการแสดงผลการดำเนินงานของกิจการในช่วงเวลาหนึ่งๆ ผ่านรายงานทางการเงินที่ประกอบด้วย งบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องที่เป็นผู้ลงทุน ผู้บริหาร และเจ้าหนี้ ฯลฯ สามารถใช้ประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับกิจการนั้น ๆ

เป็นที่ทราบดีว่า การรายงานงบการเงิน เป็นข้อมูล “Snapshot” ที่แสดงความเป็นไปของกิจการ ณ เวลาที่รายงาน ซึ่งเป็นข้อมูลในอดีต (Historical Data) จึงเป็นข้อจำกัดโดยธรรมชาติ ที่ผู้ใช้ข้อมูลไม่สามารถใช้รายงานดังกล่าวเพื่อการล่วงรู้ถึงผลการดำเนินงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ความพยายามที่จะแก้ไขข้อจำกัดดังกล่าว มีตั้งแต่การใช้รายงานทางการเงินย้อนหลังไปมากกว่าหนึ่งปี เพื่อใช้วิเคราะห์แนวโน้มที่คาดว่าจะเกิดขึ้นโดยอาศัยหลักทางสถิติข้อมูล (เปรียบเสมือนการใช้กระจกมองหลัง) สำหรับคาดการณ์เส้นทางข้างหน้า หรือการใช้ข้อมูลบ่งชี้อนาคต (Forward-looking Data) ที่กิจการเปิดเผยในช่องทางต่าง ๆ เช่น รายงานประจำปี (แบบ 56-1 One Report) ข้อมูลการวิเคราะห์และคำอธิบายของฝ่ายจัดการ (MD&A) หรือการพบปะผู้บริหารในกิจกรรม Opportunity Day เพื่อรับฟังถึงแนวโน้มกิจการในอนาคต (เปรียบเสมือนการมองผ่านกระจกหน้ารถและพูดคุยกับคนขับถึงทิศทางที่จะไปข้างหน้า) เป็นต้น

นอกจากข้อจำกัดในด้านเวลา (Time) ของรายงานทางการเงิน ยังมีข้อจำกัดในเชิงพื้นที่ (Space) ซึ่งเกิดจากการตีกรอบขอบเขตของการรายงานทางการเงินให้แสดงเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวกับกิจการ ในขณะที่ข้อมูลซึ่งบ่งชี้อนาคตของกิจการ อาจเกิดจากความสัมพันธ์นอกรั้วกิจการระหว่างคู่ค้าในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ทั้งฝั่งต้นน้ำและฝั่งปลายน้ำ หรือเป็นผลจากกฎระเบียบของผู้กำกับดูแล

เช่น การระงับการผลิตวัตถุดิบจากผู้ส่งมอบหลัก หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขและข้อกำหนดทางผลิตภัณฑ์จากลูกค้าที่คำนึงถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) หรือการออกข้อบังคับให้มีการจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจก ฯลฯ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ก่อให้เกิดความเสี่ยงและโอกาสที่ส่งผลกระทบทางการเงิน แต่ไม่ถูกบรรจุอยู่ในรายงานทางการเงิน เพราะถือเป็นข้อมูลที่ไม่เข้าเกณฑ์สาระสำคัญที่ต้องเปิดเผยในงบการเงิน

ด้วยเหตุนี้ หน่วยงานผู้จัดทำมาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการรายงานทางการเงิน (IFRS) โดยคณะกรรมการมาตรฐานความยั่งยืนระหว่างประเทศ (ISSB) จำเป็นต้องออกมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับความยั่งยืนเพิ่มเติม เพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้ข้อมูลให้ทันกับสถานการณ์และปัจจัยการดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนไป

ซึ่งประกอบด้วย มาตรฐานการรายงานทางการเงินเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน ฉบับที่ 1 เรื่อง ข้อกำหนดทั่วไปสำหรับการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับความยั่งยืน (IFRS S1) และฉบับที่ 2 เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ (IFRS S2) โดยประกาศใช้เมื่อปี พ.ศ. 2566 และเริ่มบังคับใช้ในรอบบัญชีปี 2567 สำหรับบางประเทศที่มีความพร้อม

ทั้งนี้ การจัดทำมาตรฐานรายงานทางการเงิน IFRS S1 และ S2 ก็เพื่อแก้ไขข้อจำกัดของรายงานทางการเงินแบบเดิม จากที่เป็นข้อมูลเชิง “Snapshot” มาสู่ข้อมูลเชิง “Space-time” เพื่อขยายขอบเขตการรายงานความเป็นไปของกิจการให้ครอบคลุมข้อมูลที่สามารถบ่งชี้อนาคต และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้เสียนอกกิจการ อันส่งผลต่อความยั่งยืนทางการเงินในระยะยาว

ด้วยเล็งเห็นความจำเป็นที่กิจการจะต้องมีการจัดทำรายงานทางการเงินตามมาตรฐานใหม่เพิ่มเติม สถาบันไทยพัฒน์ได้มีการแนะนำ “ตัวแบบภาษารายงาน” (Report Language Model) สำหรับใช้ร่างรายงานความยั่งยืนทางการเงินแบบอัตโนมัติ โดยอาศัยการประมวลข้อมูลบริษัทจดทะเบียนที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ที่สถาบันใช้ประเมินและจัดระดับ ESG มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 สำหรับการนำเข้าข้อมูล (Data Ingestion) สู่ ReportLM เพื่อทำการประมวลผลให้เป็นไปตามข้อกำหนดในมาตรฐาน IFRS S1 และ S2

ReportLM เป็นเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับช่วยร่างรายงานความยั่งยืนทางการเงินที่สอดรับกับมาตรฐาน ISSB ที่มีคุณสมบัติในการตั้งต้นเนื้อหาสำหรับการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน (IFRS ฉบับ S1) และรายงานทางการเงินเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ (IFRS ฉบับ S2) ที่ไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ โดยใช้วิธีดึงข้อมูลจาก “เอกสารสาธารณะของบริษัทเท่านั้น” มาประมวลผล ทำให้ตัดปัญหาเรื่อง AI “มโนข้อมูล” (Hallucination) หรือนำเข้าข้อมูลที่ไม่ถูกต้องจากอินเทอร์เน็ตมาใช้

เครื่องมือ ReportLM ได้นำเทคโนโลยี RAG (Retrieval Augmented Generation) มาใช้สนับสนุนในการเพิ่มบริบท (Context) ของคำสั่ง ที่ช่วยจำกัดขอบเขตเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง (Relevant Data) จากแหล่งที่มาของข้อมูลที่สามารถอ้างอิงได้และที่น่าเชื่อถือเท่านั้น

นอกจากนี้ ReportLM ยังช่วยทำการวิเคราะห์เพื่อปิดช่องว่างข้อมูล (Gap Analysis) โดยสามารถแสดงให้ผู้ใช้เห็นถึง “ข้อมูลที่ขาดหายไป” เช่น กิจการได้มีการระบุความเสี่ยงด้านความยั่งยืนไว้ แต่มิได้ระบุถึงผลกระทบทางการเงิน ReportLM จะทำการแจ้งเตือนว่าร่างรายงานยังไม่สมบูรณ์ จำเป็นต้องเติมข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนเผยแพร่ เป็นต้น

ในอนาคต ReportLM สามารถปรับเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นบริบทนำเข้า (Input Context) จากมาตรฐาน IFRS S1 และ S2 เป็นมาตรฐานการรายงานความยั่งยืนฉบับอื่น ๆ ที่จะประกาศใช้ เพื่อใช้ร่างรายงานด้านความยั่งยืนของกิจการให้สอดคล้องกับมาตรฐานนั้น ๆ เพิ่มเติมได้อีกด้วย


[Original Link]



ฟาร์มเฮ้าส์รับรางวัลเกียรติคุณ ESG100 Decade Award

ในฐานะองค์กรโดดเด่นด้าน ESG ต่อเนื่อง 10 ปี

บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) (PB) ผู้ผลิตและจำหน่ายขนมปัง และเบเกอรี่ ภายใต้แบรนด์ ฟาร์มเฮ้าส์ ในฐานะองค์กรที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เข้าอยู่ใน Universe ของกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นระยะเวลา 10 ปี เข้ารับรางวัลเกียรติคุณ ESG100 Decade Award ซึ่งเป็นรางวัลพิเศษที่สถาบันไทยพัฒน์จัดทำขึ้น เพื่อมอบเป็นขวัญกำลังใจให้แก่องค์กรที่ได้มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG มาอย่างต่อเนื่อง


นายอภิชาติ ธรรมมโนมัย (ที่สามจากซ้าย) ประธานกรรมการบริษัทและประธานกรรมการบริหาร และนายอภิเศรษฐ ธรรมมโนมัย (ที่สองจากซ้าย) กรรมการผู้อำนวยการ พร้อมคณะกรรมการ บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) (PB) รับมอบรางวัลเกียรติคุณ ESG100 Decade Award ในฐานะองค์กรที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าอยู่ใน Universe ของกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นระยะเวลา 10 ปี จากนายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ (ที่สามจากขวา) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ สำนักงานใหญ่ บมจ.เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ ถ.รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ

นายอภิชาติ ธรรมมโนมัย ประธานกรรมการบริษัทและประธานกรรมการบริหาร บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) มีความยินดีที่สถาบันไทยพัฒน์ได้มอบรางวัลเกียรติคุณ ESG100 Decade Award ในฐานะองค์กรที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าอยู่ใน Universe ของกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นระยะเวลา 10 ปี ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มบริษัทฯ ในการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) อย่างต่อเนื่อง”

นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ กล่าวว่า “รางวัลเกียรติคุณ ESG100 Decade Award ถือเป็นรางวัลระดับทศวรรษ รางวัลแรกด้าน ESG ในประเทศไทย ที่องค์กรซึ่งได้รับรางวัลจะต้องผ่านการสะสมผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ด้วยระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปี และได้รับคัดเลือกให้อยู่ใน 100 อันดับหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG ตามเกณฑ์ประเมินที่เป็นสากล จึงเป็นบทพิสูจน์ถึงการดำเนินกิจการสู่ความยั่งยืนที่เป็นรูปธรรมในสายตาของบุคคลภายนอก”


อนึ่ง สถาบันไทยพัฒน์ ได้จัดตั้งหน่วยงาน ESG Rating ขึ้นเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2557 เพื่อพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ โดยได้เริ่มจัดทำรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 ราย หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ในปี พ.ศ. 2558 เป็นปีแรก สำหรับรองรับความต้องการของผู้ลงทุนที่ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่คำนึงถึงประเด็นด้าน ESG เพื่อตอบโจทย์การลงทุนที่ยั่งยืน และได้ดำเนินต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 11 ในปีนี้

ทั้งนี้ การประเมินหลักทรัพย์ ESG100 ประกอบด้วยเกณฑ์เบื้องต้นสำหรับการคัดกรอง (Screening) และเกณฑ์หลักสำหรับการประเมิน (Rating) โดยมีกระบวนการประเมินที่เป็นไปตามหลักการใน ESG Code of Conduct ของสมาคมตลาดทุนระหว่างประเทศ (ICMA) และใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ESG แบบบูรณาการ (Integrated ESG Assessment) ผนวกเข้ากับข้อมูลทางการเงิน เพื่อให้คะแนนประเมินสามารถสะท้อนสาระสำคัญของการดำเนินงานด้าน ESG ที่สัมพันธ์กับสาระสำคัญทางการเงิน ยกระดับจากการวิเคราะห์ข้อมูลด้าน ESG แบบเอกเทศ มาสู่การวิเคราะห์ข้อมูลด้าน ESG ที่เชื่อมโยงกับผลประกอบการของกิจการ



ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



กรุงศรีคว้ารางวัลเกียรติคุณ ESG100 Decade Award

ตอกย้ำความเป็นผู้นำองค์กรด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่องตลอดทศวรรษ

นายเคนอิจิ ยามาโตะ (ที่ 2 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายไพโรจน์ ชื่นครุฑ (ซ้าย) ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) รับมอบรางวัลเกียรติคุณ “ESG100 Decade Award” ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย จาก ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ (ที่ 2 จากขวา) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะที่กรุงศรีได้รับคัดเลือกให้อยู่ในกลุ่ม ESG100 ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 10 ปี

โดยกรุงศรีเป็นหนึ่งใน 4 บริษัทจดทะเบียนที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบและยั่งยืน โดยคำนึงถึงมิติ ESG อย่างรอบด้านและดำเนินการต่อเนื่องอย่างเป็นรูปธรรม

นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “กรุงศรีมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลเกียรติคุณ ESG100 Decade Award ครั้งนี้ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของธนาคารในการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ โดยผนวกประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เข้าในกระบวนการดำเนินงาน เพื่อมุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนและคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องทุกกลุ่ม”

นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ กล่าวว่า “รางวัลเกียรติคุณ ESG100 Decade Award ถือเป็นรางวัลระดับทศวรรษรางวัลแรกด้าน ESG ในประเทศไทย ซึ่งองค์กรที่ได้รับรางวัลจะต้องผ่านการสะสมผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และได้รับคัดเลือกให้อยู่ใน 100 อันดับหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG ตามเกณฑ์ประเมินที่เป็นสากล ด้วยระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปี ซึ่งถือเป็นบทพิสูจน์ถึงการดำเนินกิจการสู่ความยั่งยืนอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม”

สถาบันไทยพัฒน์ ได้จัดตั้งหน่วยงาน ESG Rating เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2557 เพื่อพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ และเริ่มจัดทำรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 ราย หรือที่เรียกว่า กลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 จนถึงปัจจุบันนับเป็นเวลา 11 ปี เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนที่ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่คำนึงถึงประเด็นด้าน ESG เพื่อตอบโจทย์การลงทุนที่ยั่งยืน

การประเมินหลักทรัพย์ ESG100 ประกอบด้วยเกณฑ์เบื้องต้นสำหรับการคัดกรอง (Screening) และเกณฑ์หลักสำหรับการประเมิน (Rating) โดยมีกระบวนการประเมินที่เป็นไปตามหลักการ ESG Code of Conduct ของสมาคมตลาดทุนระหว่างประเทศ (ICMA) และใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ESG แบบบูรณาการ (Integrated ESG Assessment) ผนวกเข้ากับข้อมูลทางการเงิน เพื่อให้คะแนนประเมินสะท้อนสาระสำคัญของการดำเนินงานด้าน ESG ที่สัมพันธ์กับสาระสำคัญทางการเงิน ซึ่งเป็นการยกระดับการวิเคราะห์ข้อมูลด้าน ESG แบบเอกเทศ มาสู่การวิเคราะห์ข้อมูลด้าน ESG ที่เชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานของกิจการ



ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



เปิดผลสำรวจความยั่งยืนของธุรกิจไทย ปี 68


นับจากที่สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะผู้บุกเบิกการพัฒนาฐานข้อมูลความยั่งยืนของธุรกิจ ได้ริเริ่มสำรวจข้อมูลสถานภาพความยั่งยืนของกิจการในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2561 ขณะนั้นมีประชากรในกลุ่มสำรวจจำนวน 100 ราย และได้ทยอยเพิ่มกิจการที่ทำการสำรวจเรื่อยมาเป็นลำดับ จนในปีปัจจุบัน มีกิจการที่ได้ทำการสำรวจ อยู่จำนวน 953 ราย

วัตถุประสงค์ของการสำรวจนี้ เป็นไปเพื่อต้องการประมวลพัฒนาการด้านความยั่งยืนของธุรกิจไทย สะท้อนผ่านผลสำรวจของกลุ่มกิจการที่ดำเนินการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนทั้งในมุมมองที่สอดคล้องกับมาตรฐานการรายงานสากล (GRI) การคำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) ในบริบทของกิจการ

ผลสำรวจปี 68 ครอบคลุม 953 กิจการ
ในปี 2568 สถาบันไทยพัฒน์ ได้ทำการสำรวจข้อมูลความยั่งยืนจากบริษัทจดทะเบียน 854 แห่ง กองทุนและกิจการอื่น ๆ อีก 99 ราย รวมทั้งสิ้น 953 ราย (เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ที่ทำการสำรวจ 930 ราย) พบว่า การเปิดเผยข้อมูลซึ่งมีสัดส่วนมากสุดอยู่ที่ด้านสังคม 51.80% ด้านสิ่งแวดล้อม 27.85% และด้านเศรษฐกิจ 20.35% ตามลำดับ

หากวิเคราะห์ข้อมูลกิจการที่สำรวจ จำแนกตามกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า กิจการที่ได้คะแนนการดำเนินงาน ESG รวมสูงสุดในสามอันดับแรก ได้แก่ กิจการในกลุ่มทรัพยากร (5.37 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10) รองลงมาเป็นกิจการในกลุ่มธุรกิจการเงิน (5.27 คะแนน) และกิจการในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (5.27 คะแนน)

สำหรับประเด็นความยั่งยืนที่มีการเปิดเผยสูงสุดในสามอันดับแรก ได้แก่ การต้านทุจริต 90.66% ความหลากหลายและโอกาสแห่งความเท่าเทียม 90.35% และผลเชิงเศรษฐกิจ 87.09% ส่วนการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ที่ภาคธุรกิจมีการเปิดเผยสูงสุดในสามอันดับแรก ได้แก่ เป้าหมายที่ 5 ความเท่าเทียมทางเพศ เป้าหมายที่ 8 งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเป้าหมายที่ 9 อุตสาหกรรม นวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐาน ตามลำดับ

ไฮไลต์ผลสำรวจความยั่งยืนที่น่าสนใจ
ในการประเมินสถานภาพการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนของกิจการที่ทำการสำรวจทั้งหมด 953 ราย พบว่า ในปี 2568 มีคะแนนรวมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 4.43 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วและปีก่อนหน้าที่มีคะแนนรวมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4.31 คะแนน (ปี 2567 จากการสำรวจ 930 ราย) และ 3.53 คะแนน (ปี 2566 จากการสำรวจ 904 ราย)

เมื่อพิจารณาผลสำรวจโดยใช้ประเด็นความยั่งยืนตามมาตรฐาน GRI พบว่ากิจการกว่าครึ่ง (57.08%) มีการเปิดเผยข้อมูลในประเด็นมลอากาศ (Emissions) แต่มีเพียง 7.56% ที่มีการรายงานเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) และพบว่า ยังมีไม่ถึง 15% ที่เปิดเผยข้อมูลการประเมินด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของผู้ส่งมอบ (Supplier Environmental / Social Assessment)

สำหรับการประเมินสาระสำคัญ (Materiality Assessment) เพื่อระบุประเด็นความยั่งยืนสำหรับการดำเนินงานและการรายงานของกิจการ พบว่า 59% ของกิจการที่ถูกสำรวจ ยังไม่มีการประเมินสาระสำคัญ ส่วนกิจการที่มีการประเมินสาระสำคัญมีจำนวน 34% และมีเพียง 7% ที่มีการประเมินสาระสำคัญสองนัย (Double Materiality Assessment)

โดยในจำนวน 7% ที่มีการประเมินสาระสำคัญสองนัย พบว่า มีกิจการ 3 ใน 5 แห่ง ที่ยังมีการประเมินสาระสำคัญสองนัย ไม่สอดคล้องตามหลักการที่ควรจะเป็น

สาระสำคัญสองนัย (Double Materiality) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ทวิสารัตถภาพ’ เป็นการระบุประเด็นสาระสำคัญตามนัยทางการเงิน (Financial) อันเกิดจากปัจจัยความยั่งยืนที่มีต่อการสร้างคุณค่ากิจการ และประเด็นสาระสำคัญตามนัยของผลกระทบ (Impact) อันเกิดจากการประกอบการที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม สำหรับเป็นข้อมูลให้กิจการนำไปใช้ดำเนินการเพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืน ซึ่งได้กลายเป็นหลักการที่ถูกบรรจุอยู่ในมาตรฐานระหว่างประเทศ อาทิ มาตรฐาน ESRS (European Sustainability Reporting Standards) ที่กำหนดให้กิจการซึ่งอยู่ในข่ายต้องดำเนินการตามหลักการดังกล่าว

โดยหลักการสำคัญ 2 ประการของทวิสารัตถภาพ ได้แก่ ประการแรก การประเมินประเด็นที่เป็นสาระสำคัญตามนัยทางการเงินและตามนัยของผลกระทบ ควรได้รับการพิจารณาให้ลำดับความสำคัญตามเกณฑ์ที่ขึ้นกับนัยนั้น ๆ แยกต่างหากจากกัน (ไม่ใช้เกณฑ์ร่วม) และประการที่สอง ประเด็นที่เป็นสาระสำคัญมาจากการรวมประเด็น (Union) ที่ได้จากการประเมินว่าสำคัญในแต่ละนัย มิได้มาจากการคัดเฉพาะประเด็นสำคัญที่ตรงกัน (Intersection) ในทั้งสองนัย

สำหรับข้อมูลผลสำรวจอื่น ๆ ที่น่าสนใจ สามารถติดตามเพิ่มเติมทางเว็บไซต์ของสถาบันไทยพัฒน์ ในเมนู ‘ความยั่งยืน’ ภายใต้หัวข้อ ‘รายงานสถานภาพความยั่งยืน’ ได้ที่ https://thaipat.org


[Original Link]



ธนาคารกรุงเทพ ติดทำเนียบหุ้น ESG100 ปี 2568


ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ. 2568 โดยสถาบันไทยพัฒน์


นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล (ที่สองจากขวา) กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) พร้อมคณะผู้บริหาร รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 Company ในฐานะบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ประจำปี 2568 จากนายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ (ที่สองจากซ้าย) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ สำนักงานใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ถ.สีลม กรุงเทพฯ

นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ เปิดเผยว่า ทางสถาบันไทยพัฒน์ ได้ประกาศให้ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2568 ด้วยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มธุรกิจการเงิน / ธนาคาร

"การที่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้รับคัดเลือกให้อยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ประจำปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงการสร้างสรรค์คุณค่าที่ยั่งยืนต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมความรู้ทางการเงินและการเข้าถึงบริการทางการเงิน การมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อสังคม และการส่งเสริมคู่ค้าให้ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งตอบสนองต่อประเด็นด้านความยั่งยืนที่สอดคล้องกับเกณฑ์จัดระดับ ESG ในกลุ่มธุรกิจการเงิน / ธนาคาร โดยการประเมินของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาจากข้อมูลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน" นายพิพัฒน์ กล่าว

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ธนาคารกรุงเทพตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆ กัน โดยธนาคารตั้งเป้าหมาย Net Zero จากการดำเนินงานภายใน (Scope 1 และ 2) ภายในปี 2578 และจากการให้สินเชื่อและการลงทุน (Scope 3 Category 15) ภายในปีเป้าหมายของประเทศไทย พร้อมกับหลอมรวมประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล หรือ ESG เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์องค์กรเพื่อมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน"

สถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่สิบเอ็ดในปีนี้

การจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนโดยสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ เทียบกับชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI



ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



LHFG รับรางวัลเกียรติคุณ ESG100 Decade Award

ในฐานะองค์กรโดดเด่นด้าน ESG ต่อเนื่อง 10 ปี

บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (LHFG) บริษัทแม่ของกลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ในฐานะองค์กรที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เข้าอยู่ใน Universe ของกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นระยะเวลา 10 ปี เข้ารับรางวัลเกียรติคุณ ESG100 Decade Award ซึ่งเป็นรางวัลพิเศษที่สถาบันไทยพัฒน์จัดทำขึ้น เพื่อมอบเป็นขวัญกำลังใจให้แก่องค์กรที่ดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG มาอย่างต่อเนื่อง


นายวรวุฒน์ โตเจริญธนาผล (ที่สองจากซ้าย) President และนายวิเชียร อมรพูนชัย (คนซ้ายสุด) กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (LHFG) รับมอบรางวัลเกียรติคุณ ESG100 Decade Award ในฐานะองค์กรที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าอยู่ใน Universe ของกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นระยะเวลา 10 ปี จากนายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ (ที่สองจากขวา) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ อาคารคิวเฮ้าส์ ลุมพินี เขตสาทร กรุงเทพมหานคร

นายวรวุฒน์ โตเจริญธนาผล President บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และกลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มีความยินดีที่สถาบันไทยพัฒน์ได้มอบรางวัลเกียรติคุณ ESG100 Decade Award ในฐานะองค์กรที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าอยู่ใน Universe ของกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นระยะเวลา 10 ปี ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ที่ดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) มาอย่างต่อเนื่อง”

นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ กล่าวว่า “รางวัลเกียรติคุณ ESG100 Decade Award ถือเป็นรางวัลระดับทศวรรษ และเป็นรางวัลแรกด้าน ESG ในประเทศไทย ซึ่งองค์กรที่ได้รับรางวัลต้องผ่านการสะสมผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ไม่ต่ำกว่า 10 ปี และได้รับคัดเลือกให้อยู่ใน 100 อันดับหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG ตามเกณฑ์ประเมินที่เป็นสากล ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ถึงการดำเนินกิจการสู่ความยั่งยืนที่เป็นรูปธรรมในสายตาของบุคคลภายนอก”


สถาบันไทยพัฒน์ ได้จัดตั้งหน่วยงาน ESG Rating เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2557 เพื่อพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ และเริ่มจัดทำรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 ราย หรือที่เรียกว่า กลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 จนถึงปัจจุบันนับเป็นเวลา 11 ปี เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนที่ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่คำนึงถึงประเด็นด้าน ESG เพื่อตอบโจทย์การลงทุนที่ยั่งยืน

การประเมินหลักทรัพย์ ESG100 ประกอบด้วยเกณฑ์เบื้องต้นสำหรับการคัดกรอง (Screening) และเกณฑ์หลักสำหรับการประเมิน (Rating) โดยมีกระบวนการประเมินที่เป็นไปตามหลักการ ESG Code of Conduct ของสมาคมตลาดทุนระหว่างประเทศ (ICMA) และใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ESG แบบบูรณาการ (Integrated ESG Assessment) ผนวกเข้ากับข้อมูลทางการเงิน เพื่อให้คะแนนประเมินสะท้อนสาระสำคัญของการดำเนินงานด้าน ESG ที่สัมพันธ์กับสาระสำคัญทางการเงิน ซึ่งเป็นการยกระดับการวิเคราะห์ข้อมูลด้าน ESG แบบเอกเทศ มาสู่การวิเคราะห์ข้อมูลด้าน ESG ที่เชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานของกิจการ



ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



การเตรียมความพร้อมข้อมูลสำหรับการประเมิน ESG


สถาบันไทยพัฒน์ ได้มีการจัดงาน Thaipat Runners-up 2025 Online Forum เป็นครั้งที่ 7 ในรูปแบบ Webinar ภายใต้ชื่อหัวข้อ "ESG Data Readiness Check" ให้แก่องค์กรที่ได้รับเชิญ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืนของกิจการ และต้องการที่จะยกระดับการจัดทำข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) อย่างเป็นระบบ

ด้วยเหตุที่ ปัจจุบัน การเปิดเผยข้อมูล ESG ได้กลายเป็นบรรทัดฐานสำหรับบริษัทจดทะเบียนในการรายงานผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของกิจการต่อสาธารณะ ซึ่งข้อมูล ESG ที่บริษัทเปิดเผยดังกล่าว จะเป็นที่ยอมรับมากยิ่งขึ้น หากได้รับการรับรองจากผู้ประเมินอิสระที่เป็นหน่วยงานภายนอกที่มีความน่าเชื่อถือ

บริษัทจดทะเบียนซึ่งประสงค์จะแสดงสถานะของกิจการวิถียั่งยืนด้วยประเด็นด้าน ESG ต่างต้องการได้รับผลคะแนนประเมินที่ดีจากผู้ประเมินอิสระภายนอก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ทั้งกับผู้ลงทุนต่อการใช้ข้อมูล ESG ประกอบการพิจารณาตัดสินใจลงทุน รวมทั้งกับลูกค้า คู่ค้า สถาบันการเงิน หน่วยงานรัฐ ชุมชน ฯ ที่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในวงกว้าง

การเตรียมความพร้อมข้อมูล ESG เพื่อการเผยแพร่เป็นข้อมูลสาธารณะที่หน่วยงานผู้ประเมินจะใช้ในการวิเคราะห์ได้อย่างครบถ้วนเพียงพอ จึงมีส่วนสำคัญที่ทำให้ผลประเมินสะท้อนสิ่งที่องค์กรดำเนินการตามความเป็นจริง ไม่เสียโอกาสในลักษณะที่บริษัทมีการดำเนินการอยู่จริง แต่ขาดการจัดทำข้อมูลเผยแพร่ หรือมีการเผยแพร่เพียงบางส่วน เป็นเหตุให้หน่วยงานผู้ประเมินไม่สามารถประเมินเพื่อให้คะแนนได้เต็มที่

โดยการจัดงานฟอรัมในครั้งนี้ ประกอบด้วย เนื้อหา 2 ส่วน ได้แก่ การตรวจสอบความพร้อมข้อมูล ESG ของบริษัท ตามมาตรฐานการรายงานที่เป็นสากล (ESG Data Readiness Check: From Rendering to Aligning) และตัวอย่างการตรวจสอบความพร้อมข้อมูล ESG ที่เชื่อมโยงกับเกณฑ์ชี้วัดของผู้ประเมินและจัดระดับ ESG (Example of ESG Data Readiness Score: Mapping to ESG Raters’ Criteria)


เนื้อหาในส่วนแรก เป็นการให้ความรู้แก่องค์กร ต่อการให้น้ำหนักข้อมูลที่สำคัญ (Rendering) โดยใช้การวิเคราะห์สารัตถภาพ หรือความเป็นสาระสำคัญของสิ่งที่พิจารณา ในที่นี้ คือ ชุดข้อมูลความเสี่ยงและโอกาสเกี่ยวกับความยั่งยืนที่ส่งผลทางการเงินต่อกิจการ และชุดข้อมูลผลกระทบเกี่ยวกับความยั่งยืนที่เกิดจากการดำเนินงานของกิจการและส่งผลสู่ภายนอก

ในการเตรียมข้อมูล ESG องค์กรต้องสามารถแจกแจงให้ได้ว่า ประเด็นสาระสำคัญด้านความยั่งยืนของกิจการมีอะไรบ้าง และมีประเด็นใดที่มีนัยสำคัญ (เชิงการเงิน) ต่อผู้ใช้ข้อมูลที่เป็นกลุ่มผู้ลงทุน และประเด็นใดที่มีนัยสำคัญ (เชิงผลกระทบ) ต่อผู้ใช้ข้อมูลที่เป็นกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียในวงกว้าง ซึ่งชุดข้อมูลเหล่านี้จะถูกเรียกว่า สาระสำคัญสองนัย (Double Materiality) หรือใช้อีกชื่อหนึ่งว่า “ทวิสารัตถภาพ”

ความจำเป็นที่องค์กรต้องจัดเตรียมข้อมูลที่เป็นสาระสำคัญสองนัยนี้ เนื่องจาก หน่วยงานผู้ประเมินและจัดระดับ ESG ชั้นนำในระดับสากล (เช่น S&P Global) ได้หันมาใช้แนวทางการประเมินด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลแบบทวิสารัตถภาพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ถัดมา องค์กรจะต้องมีความสามารถในการติดป้ายระบุเนื้อหา (Tagging) ที่เผยแพร่ต่อสาธารณะ ซึ่งแต่เดิมเน้นไปที่ให้คนอ่าน (Human-readable) เพิ่มเป็นการอำนวยความสะดวกให้สามารถประมวลผลข้อมูลหรืออ่านด้วยเครื่อง (Machine-readable) เพื่อรองรับการเผยแพร่ในรูปแบบของการรายงานดิจิทัล (Digital Reporting) ที่มิใช่การแปลงเป็นแฟ้มหรือเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (เช่น ไฟล์ pdf) ซึ่งเพียงรองรับให้คนอ่าน แต่ต้องเป็นการใช้ภาษาหรือการลงรหัสคอมพิวเตอร์ (เช่น XBRL) โดยอ้างอิงการแบ่งหมวดหมู่ของประเด็นความยั่งยืนตามมาตรฐานการรายงานที่เป็นสากล (เช่น GRI และ IFRS Taxonomy) ในการติดป้ายระบุเนื้อหาที่เผยแพร่

ความจำเป็นที่องค์กรต้องเตรียมพร้อมจัดทำเป็นรายงานดิจิทัลนี้ เนื่องจาก พัฒนาการที่จะมีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการประมวลข้อมูล ESG ของกิจการกำลังเกิดขึ้น และจะเข้ามาแทนที่การจัดทำรายงานความยั่งยืนด้วยมือหรือใช้คนทำ องค์กรจึงต้องเตรียมพร้อมข้อมูล ESG ที่จะเผยแพร่ ให้สามารถประมวลผลข้อมูลหรืออ่านด้วยเครื่องได้

หลังจากนั้น องค์กรควรพิจารณาการวางแนวเนื้อหาให้สอดคล้องกับเกณฑ์ประเมิน (Aligning) ของหน่วยงานผู้ประเมินและจัดระดับ ESG ที่องค์กรเลือกเข้าร่วมรับการประเมิน เพราะผู้ประเมินในแต่ละสำนักจะมีชุดเกณฑ์ประเมินและตัวชี้วัดที่แตกต่างกัน แม้ว่าหลักการประเมินที่แต่ละสำนักใช้จะมีความคล้ายคลึงกันก็ตาม

ความจำเป็นที่องค์กรต้องจัดวางแนวเนื้อหาให้สอดคล้องกับเกณฑ์ประเมิน ก็เพื่อให้ได้ผลประเมินที่ดี มีระดับคะแนนที่สามารถนำไปสื่อสารและประชาสัมพันธ์ได้อย่างภาคภูมิใจ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุน เข้าถึงตลาดใหม่ ๆ รวมทั้งการยอมรับจากผู้มีส่วนได้เสียของกิจการ จากการได้รับการจัดระดับจากผู้ประเมินภายนอกซึ่งมีความน่าเชื่อถือ

อย่างไรก็ดี จุดยืนที่องค์กรพึงมี คือ ต้องตระหนักว่า การที่องค์กรขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืนและจัดทำข้อมูล ESG เพื่อเผยแพร่ มิได้เป็นไปเพียงเพื่อให้ได้คะแนนดีจากผู้ประเมิน แต่ควรทำเพื่อให้องค์กรเติบโตและยั่งยืน เกิดประโยชน์แก่ผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียของกิจการโดยรวม องค์กรจึงต้องยึดประเด็นด้านความยั่งยืนที่กิจการลงความเห็นแล้วว่าเป็นประเด็นสาระสำคัญ มาเป็นหลักในการดำเนินงาน มิใช่ยึดเกณฑ์ประเมินและตัวชี้วัดของผู้ประเมินภายนอกมาเป็นสรณะในการดำเนินการ

ทั้งนี้ เพราะการจัดทำเกณฑ์ประเมินและตัวชี้วัดของผู้ประเมิน โดยธรรมชาติ ต้องถูกออกแบบให้ครอบคลุมในทุกประเด็นความยั่งยืนที่ผู้ประเมินจะต้องกำหนดไว้ในระเบียบวิธี (Methodology) ที่ใช้ประเมิน ซึ่งในความเป็นจริง ไม่ใช่ทุกประเด็นความยั่งยืนที่ผู้ประเมินใช้ จะเป็นประเด็นสาระสำคัญในบริบทของกิจการ (แม้ผู้ประเมินจะมีชุดตัวชี้วัดที่ใช้เฉพาะรายสาขาก็ตาม)

สำหรับองค์กรที่เริ่มขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืนและเพิ่งมีการจัดทำข้อมูล ESG เผยแพร่ อาจจะได้รับประโยชน์จากการเข้ารับการประเมิน ในกรณีที่องค์กรยังไม่สามารถระบุประเด็นความยั่งยืนที่เป็นสาระสำคัญของกิจการได้อย่างแน่ชัด เกณฑ์ประเมินและตัวชี้วัดของผู้ประเมินจะช่วยชี้แนะแนวทางในการระบุประเด็นความยั่งยืนที่เกี่ยวข้อง และใช้เป็นข้อมูลนำเข้าในการศึกษาเรียนรู้เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ตามบริบทที่เหมาะสมแก่องค์กรเป็นลำดับ

เนื้อหาในส่วนที่สอง เป็นการนำเสนอตัวอย่างการตรวจสอบความพร้อมข้อมูล ESG ที่เชื่อมโยงกับเกณฑ์ชี้วัดของผู้ประเมินและจัดระดับ ESG จำนวน 3 แห่ง ประกอบด้วย 1) ESG Rating ในกำกับของสถาบันไทยพัฒน์ 2) FTSE Russell ของตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน (LSEG) และ 3) S&P Global ผู้จัดทำดัชนีดาวโจนส์ (DJI)

กล่าวโดยสรุป ประโยชน์ที่ได้รับสำหรับองค์กรที่เข้าร่วมงานครั้งนี้ คือ การล่วงรู้สถานะด้านการเปิดเผยข้อมูล ESG ในปัจจุบันของกิจการ ตามมาตรฐานการรายงานที่เป็นสากล และแนวทางการเชื่อมโยงประเด็นความยั่งยืนของกิจการกับเกณฑ์ชี้วัดของหน่วยงานผู้ประเมินและจัดระดับ ESG ที่น่าเชื่อถือ โดยสามารถต่อยอดไปสู่การปิดช่องว่าง (Gap) ในรายงานความยั่งยืนที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะได้อย่างตรงจุดและสอดคล้องกับบริบทของกิจการ


[Original Link]