Thaipat Institute

GRI Certified Training Partner นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2556

รู้จัก    CG   ¦   ESG   ¦   CSR   ¦   CSV   ¦   SD   ¦   SE   ¦   SB

ทานตะวันอุตสาหกรรม ติดทำเนียบหุ้น ESG100 เป็นปีที่ 8


บริษัท ทานตะวันอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (THIP) ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์คุณภาพระดับสากลมาอย่างต่อเนื่องกว่า 47 ปี ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ. 2568 โดยสถาบันไทยพัฒน์


นายสมสกุล วินิชบุตร (ขวามือ) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงาน - บริหารธุรกิจ การเงินและการลงทุน บริษัท ทานตะวันอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (THIP) รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 Company ในฐานะบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ประจำปี 2568 จากนายวรณัฐ เพียรธรรม (ซ้ายมือ) กรรมการและผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ ณ บมจ.ทานตะวันอุตสาหกรรม สำนักงานกรุงเทพฯ ถ.วิภาวดีรังสิต

นายสมสกุล วินิชบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงาน - บริหารธุรกิจ การเงินและการลงทุน บริษัท ทานตะวันอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ ประกาศให้ บริษัท ทานตะวันอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (THIP) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2568 ด้วยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และบริษัทได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 (พ.ศ.2560-2561 และ พ.ศ.2563-2568)

“บริษัทฯ มุ่งสร้างสรรค์สินค้าและบริการที่เพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้าและสังคมอย่างสม่ำเสมอ บนพื้นฐานของจริยธรรม ธรรมาภิบาล และแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดี ภายใต้วิสัยทัศน์ ผู้นำนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ระดับสากล พร้อมทั้งขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามหลัก ESG และนำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) มาใช้เป็นกรอบในการดำเนินธุรกิจเพื่อส่งมอบคุณค่า แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนด้วยนวัตกรรมที่เชื่อถือได้สำหรับทุกคน โดยในปี พ.ศ. 2567 บริษัทฯ ได้เข้าร่วมประกาศเจตจำนงขับเคลื่อนการจัดการบรรจุภัณฑ์ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ด้วยหลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (EPR) ผลักดันการใช้ทรัพยากรเกิดประโยชน์สูงสุด และการส่งคืนบรรจุภัณฑ์กลับมาใช้ใหม่ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

ในฐานะผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์ บริษัทฯ ได้ดำเนินกลยุทธ์เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Emissions) และลดผลกระทบต่อระบบนิเวศ ผ่านการเพิ่มสัดส่วนการใช้วัสดุรีไซเคิลในกระบวนการผลิต โดยเลือกใช้วัตถุดิบที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ พร้อมกับพัฒนากระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ลดการใช้ทรัพยากรใหม่ และลดปริมาณของเสียจากการผลิตอย่างต่อเนื่อง”


โดยการจัดระดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน

สถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่สิบเอ็ดในปีนี้

การจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนโดยสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ เทียบกับชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



Carbon Ratings: ตัวช่วยการลงทุนที่ใส่ใจภูมิอากาศ


ปัจจุบัน ผู้ลงทุนประเภทสถาบัน นอกจากที่จะให้ความสำคัญกับการใช้ข้อมูลด้าน ESG (Environmental, Social and Governance) ของกิจการในกระบวนการพิจารณาตัดสินใจลงทุนแล้ว ยังมีความต้องการใช้ข้อมูลด้านภูมิอากาศที่กิจการมีการดำเนินการ อาทิ ข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป้าหมายการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในระดับกิจการ ฯลฯ สำหรับประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วย

จากรายงานผลสำรวจ EY 2024 Institutional Investor Survey ซึ่งจัดทำขึ้นเป็นปีที่ 11 ได้รวบรวมมุมมองของผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลก ชี้ให้เห็นว่า ผู้ลงทุนกว่า 55% เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบต่อกลยุทธ์การลงทุนในช่วง 2 ปีข้างหน้า และ 62% ระบุว่า ได้เตรียมความพร้อมในการประเมินข้อมูลเกี่ยวกับภูมิอากาศของบริษัทที่เข้าลงทุนไว้แล้ว

ทั้งนี้ หน่วยงานผู้จัดทำมาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการรายงานทางการเงิน (IFRS) ได้ออกมาตรฐานการรายงานทางการเงินเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน ฉบับที่ 1 เรื่อง ข้อกำหนดทั่วไปสำหรับการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับความยั่งยืน (IFRS S1) และฉบับที่ 2 เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ (IFRS S2) ซึ่งในหลายประเทศได้รับเอามาตรฐานทั้งสองฉบับดังกล่าวไปบังคับใช้แล้ว

ในประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำลังอยู่ระหว่างจัดทำหลักการแนวทางการยกระดับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนของไทย โดยกำหนดให้บริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยต้องเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนตาม IFRS S1 และ S2 ด้วยวิธีการนำไปใช้เป็นลำดับและสัดส่วน พร้อมมาตรการผ่อนปรนช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน เพื่อให้สอดรับกับบริบทของประเทศไทย รวมถึงความพร้อมของภาคเอกชน โดยคาดว่าจะเริ่มจากบริษัทในกลุ่ม SET50 ก่อน

ในฝั่งของผู้ประกอบการ นอกจากที่บริษัทมีความจำเป็นที่จะต้องเปิดเผยข้อมูลด้านภูมิอากาศตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้องดังกล่าวในอนาคตอันใกล้แล้ว ในฝั่งของผู้ลงทุน ความต้องการข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับความยั่งยืนต่อการประเมินความเสี่ยงและโอกาสของบริษัท รวมถึงข้อมูลการเปรียบเทียบสมรรถนะการดำเนินงานด้านภูมิอากาศที่เกี่ยวโยงกับตัวเลขทางการเงินของกลุ่มบริษัทเป้าหมายที่จะลงทุน จึงมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

เป็นเหตุให้การพัฒนาข้อมูลบัญชีคาร์บอนของภาคธุรกิจ เพื่อการจัดระดับบริษัทจดทะเบียนด้านความสามารถทางภูมิอากาศ สำหรับผู้ลงทุนใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน ควบคู่กับข้อมูลทางการเงิน ให้สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน และผลักดันการกำกับดูแลกิจการด้านภูมิอากาศไปพร้อมกัน ได้กลายเป็นบรรทัดฐานสำหรับการลงทุนที่ใส่ใจภูมิอากาศ

จากการสำรวจของ UN PRI กับภาคีสมาชิกจำนวน 3,048 แห่ง ที่เปิดเผยในรายงาน Global responsible investment trends 2025: inside PRI reporting data พบว่า 4 ใน 5 ขององค์กรภาคีสมาชิกซึ่งมีทรัพย์สินภายใต้การจัดการ (AUM) รวมกันราว 82.7 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ มีการระบุถึงความเสี่ยงและโอกาสเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศเพื่อการตัดสินใจลงทุน

สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะผู้บุกเบิกการพัฒนาฐานข้อมูลความยั่งยืนของธุรกิจ และเป็นผู้ริเริ่มการจัดระดับ ESG Rating ขึ้นในประเทศไทย นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 และดำเนินเรื่อยมาเป็นปีที่ 11 ในปัจจุบัน ได้จัดตั้งหน่วยงาน Carbon Ratings เพื่อขยายผลมาสู่การประเมินข้อมูลบัญชีคาร์บอนของภาคธุรกิจที่เชื่อมโยงกับตัวเลขทางการเงิน ในรูปแบบของ Carbon Equity Ratings (CER) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย

การจัดระดับคาร์บอน (Carbon Ratings) เป็นการประเมินขีดความสามารถทางภูมิอากาศระดับองค์กร โดยใช้ข้อมูลบัญชีก๊าซเรือนกระจกที่กิจการเปิดเผย (Corporate Emission Profile) ซึ่งครอบคลุมข้อมูลมลอากาศทางตรง (Direct Emissions) จากการดำเนินงานในขอบข่ายที่ 1 (Scope 1) และข้อมูลมลอากาศทางอ้อม (Indirect Emissions) จากการใช้พลังงานในขอบข่ายที่ 2 (Scope 2) และข้อมูลมลอากาศทางอ้อมอื่น ๆ ในขอบข่ายที่ 3 (Scope 3) จากกิจกรรมที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่คุณค่า

โดยตัวชี้วัดหลักที่ใช้ในการประเมิน เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่เกี่ยวเนื่องกับข้อมูลก๊าซเรือนกระจกของกิจการ ประกอบด้วย

ตัวชี้วัดในมุมมอง ‘ดีต่อโลก’ ได้แก่ ปริมาณการปล่อยคาร์บอนต่อมูลค่ากิจการรวมเงินสด (Carbon Intensity) มีหน่วยเป็นตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อล้านบาท

ตัวชี้วัดในมุมมอง ‘ดีต่อกิจการ’ ได้แก่ อัตราส่วนกำไรต่อปริมาณการปล่อยคาร์บอน (Earnings per tCO2e) มีหน่วยเป็นบาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

ตัวชี้วัดในมุมมอง ‘ดีต่อผู้ลงทุน’ ได้แก่ อัตราผลตอบแทนต่อปริมาณการปล่อยคาร์บอน (Return per tCO2e) มีหน่วยเป็นบาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
การประเมิน Carbon Ratings ถือเป็นมิติใหม่ของการเผยแพร่ข้อมูลประเมินด้านภูมิอากาศ ที่นอกจากจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาระดับการเปิดเผยข้อมูลบัญชีคาร์บอนของบริษัทจดทะเบียนแล้ว ยังจะเป็นการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับภูมิอากาศของบริษัทจดทะเบียนให้แก่ผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพิ่มโอกาสการลงทุนในบริษัทจดทะเบียนจากกลุ่มผู้ลงทุนที่ใช้ข้อมูลดังกล่าว เพื่อสร้างผลตอบแทนการลงทุน พร้อมกับการสร้างผลกระทบทางภูมิอากาศในเชิงบวก

ปัจจุบัน ได้มีการคัดกรองหลักทรัพย์จากจำนวนทั้งหมด 457 หลักทรัพย์จดทะเบียนซึ่งมีตัวเลขความเข้มข้นของคาร์บอน (Carbon Intensity) ที่อยู่ในเกณฑ์ต่ำ เพื่อใช้สร้างกลุ่มหลักทรัพย์อ้างอิง Low Emission Securities (LES) สำหรับให้ผู้ลงทุนได้ใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับประกอบการตัดสินใจลงทุนเพิ่มเติมจากข้อมูลพื้นฐานและข้อมูลทางการเงินของกิจการ โดยจะเริ่มทยอยเผยแพร่ข้อมูลผ่านทางเว็บไซต์ https://carbonratings.org เป็นลำดับต่อไป


[Original Link]



ไทยพัฒน์ เปิดตัว Carbon Ratings

หนุนจัดระดับกิจการด้วยข้อมูลด้านภูมิอากาศ


10 กันยายน 2568 – สถาบันไทยพัฒน์ ตั้งหน่วยงาน Carbon Ratings พัฒนาข้อมูลบัญชีคาร์บอนของภาคธุรกิจ เพื่อการจัดระดับบริษัทจดทะเบียนด้านความสามารถทางภูมิอากาศ สำหรับผู้ลงทุนใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน ควบคู่กับข้อมูลทางการเงิน ให้สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน และผลักดันการกำกับดูแลกิจการด้านภูมิอากาศไปพร้อมกัน

สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะผู้บุกเบิกการพัฒนาฐานข้อมูลความยั่งยืนของธุรกิจ และเป็นผู้ริเริ่มการจัดระดับ ESG Rating ขึ้นในประเทศไทย นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 เห็นว่า ปัจจุบัน ผู้ลงทุนประเภทสถาบัน นอกจากที่จะให้ความสำคัญกับการใช้ข้อมูลด้าน ESG ของกิจการในกระบวนการพิจารณาตัดสินใจลงทุนแล้ว ยังมีความต้องการใช้ข้อมูลด้านภูมิอากาศที่กิจการมีการดำเนินการ อาทิ ข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป้าหมายการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในระดับกิจการ ฯลฯ สำหรับประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วย

โดยจากรายงานผลสำรวจ EY 2024 Institutional Investor Survey ซึ่งจัดทำขึ้นเป็นปีที่ 11 ได้รวบรวมมุมมองของผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลก ชี้ให้เห็นว่า ผู้ลงทุนกว่า 55% เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบต่อกลยุทธ์การลงทุนในช่วง 2 ปีข้างหน้า และ 62% ระบุว่า ได้เตรียมความพร้อมในการประเมินข้อมูลเกี่ยวกับภูมิอากาศของบริษัทที่เข้าลงทุนไว้แล้ว

ด้วยประสบการณ์กว่า 11 ปี ของสถาบันไทยพัฒน์ในการประเมินข้อมูลด้าน ESG ของกิจการ จึงได้ขยายผลมาสู่การประเมินข้อมูลบัญชีคาร์บอนของภาคธุรกิจ เพื่อการจัดระดับบริษัทจดทะเบียนด้านความสามารถทางภูมิอากาศ ในรูปแบบของ Carbon Ratings เป็นครั้งแรกในประเทศไทย

การจัดระดับคาร์บอน (Carbon Ratings) ที่สถาบันไทยพัฒน์พัฒนาขึ้น เป็นการประเมินโดยใช้ข้อมูลเกี่ยวกับก๊าซเรือนกระจกที่กิจการเปิดเผย (Corporate Emission Profile) แสดงผลด้วยตัวอักษรแทนระดับของผลการประเมิน โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ
ระดับแรก แสดงด้วยตัวอักษร Q หมายถึง กิจการมีการรายงานข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบข่าย (Scope) ที่ 1, 2 และ 3 ครบถ้วนตามขอบเขตดำเนินงาน (Operational Boundary) เป็นระดับที่แสดงถึง การเปิดเผยข้อมูลปริมาณก๊าซเรือนกระจก (Emissions Quantity)

ระดับที่สอง แสดงด้วยตัวอักษร QQ หมายถึง กิจการมีการรายงานข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเกณฑ์คุณภาพข้อมูลก๊าซเรือนกระจกที่รายงาน เป็นระดับที่แสดงถึง การเปิดเผยข้อมูลปริมาณก๊าซเรือนกระจกในระดับแรก และคุณภาพข้อมูลก๊าซเรือนกระจก (Data Quality)

ระดับที่สาม แสดงด้วยตัวอักษร QQQ หมายถึง กิจการมีการรายงานข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เกณฑ์คุณภาพข้อมูลก๊าซเรือนกระจกที่รายงาน และความก้าวหน้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบข่ายที่ 1, 2 และ 3 ที่สอดคล้องกับกรอบเพดานอุณหภูมิไม่เกิน 1.5 °C เป็นระดับที่แสดงถึง การเปิดเผยข้อมูลปริมาณก๊าซเรือนกระจกในระดับแรก คุณภาพข้อมูลก๊าซเรือนกระจกในระดับที่สอง และความก้าวหน้าดำเนินงานบนขีดความสามารถทางภูมิอากาศ (Climate Quotient)

นายวรณัฐ เพียรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ กล่าวว่า “การประเมิน Carbon Ratings ที่สถาบันไทยพัฒน์ริเริ่มขึ้นนี้ ถือเป็นมิติใหม่ของการเผยแพร่ข้อมูลประเมินด้านภูมิอากาศ ที่นอกจากจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาระดับการเปิดเผยข้อมูลบัญชีคาร์บอนของบริษัทจดทะเบียนแล้ว ยังจะเป็นการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับภูมิอากาศของบริษัทจดทะเบียนให้แก่ผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพิ่มโอกาสการลงทุนในบริษัทจดทะเบียนจากกลุ่มผู้ลงทุนที่ใช้ข้อมูลดังกล่าว เพื่อสร้างผลตอบแทนการลงทุน พร้อมกับการสร้างผลกระทบทางภูมิอากาศในเชิงบวก”

นางสาววีรญา ปรียาพันธ์ ในฐานะหัวหน้าทีม Carbon Ratings สถาบันไทยพัฒน์ กล่าวเสริมว่า “ไทยพัฒน์ ได้เข้าเป็นสมาชิก Climate Reference Group1 ภายใต้ UN PRI2 เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดและแนวปฏิบัติที่ดีต่อการพัฒนากลยุทธ์การลงทุนที่ผนวกทั้งโอกาสและความเสี่ยงด้านภูมิอากาศผ่านเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสม ร่วมกับอีก 63 องค์กรสมาชิกที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ลงทุนสถาบันชั้นนำระดับโลก ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาข้อมูลด้านภูมิอากาศสำหรับการลงทุนของบริษัทจดทะเบียนไทย”

บริษัทจดทะเบียนและกิจการที่ต้องการพัฒนาระดับการเปิดเผยข้อมูลบัญชีคาร์บอน หรือต้องการจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับภูมิอากาศเพื่อการเผยแพร่ให้แก่ผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยใช้เครื่องมือ Carbon Ratings สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ CarbonRatings.org ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณวีรญา ปรียาพันธ์
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



--------------------------------------
1 https://www.unpri.org/signatory-resources/advisory-committees-and-working-groups/320.article#Climate_reference_group
2 เป็นโครงการที่เกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนของสหประชาชาติ ที่ให้คำแนะนำเรื่องการนำหลักการลงทุนที่รับผิดชอบมาใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน และมีภาคีผู้ร่วมลงนามกว่า 5,200 รายทั่วโลก



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



อานิสงส์จากการเปิดเผยข้อมูล 'ความยั่งยืน'


ในโลกที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและวิกฤตสิ่งแวดล้อมกำลังทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เพียงแค่ประเด็นทางนิเวศวิทยาอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นความเสี่ยงทางการเงินที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลประกอบการของภาคธุรกิจทั่วโลก

การเพิกเฉยต่อความเสี่ยงเหล่านี้ อาจทำให้เศรษฐกิจโลกต้องเผชิญกับต้นทุนมหาศาล ซึ่งคาดว่าจะสูงถึง 38 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี ค.ศ. 2050 หรือคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าหนึ่งในสามของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) ทั่วโลก

ในรายงาน The Disclosure Dividend 2025 ของ CDP ซึ่งรวบรวมข้อมูลจากการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทกว่า 24,800 แห่ง ที่ครอบคลุมมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดถึงสองในสามของตลาดโลก ได้เผยให้เห็นว่า ภาคธุรกิจที่เริ่มตระหนักและลงมือจัดการกับความเสี่ยงเหล่านี้อย่างจริงจัง จะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ซึ่ง CDP เรียกสิ่งนี้ว่า อานิสงส์จากการเปิดเผยข้อมูล

ผลกระทบจากความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมได้เริ่มกัดกร่อนประสิทธิภาพทางการเงินของธุรกิจแล้วในหลายอุตสาหกรรม เช่น ในภาคการเกษตรของสหภาพยุโรปกำลังประสบปัญหาขาดทุนถึง 28,000 ล้านยูโรในแต่ละปีจากเหตุการณ์สภาพอากาศที่รุนแรง หรือการที่ราคาโกโก้ในตลาดโลกพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนในแอฟริกาตะวันตก ซึ่งเป็นแหล่งผลิตโกโก้ราว 80% ของโลก หรือภัยแล้งในไต้หวันได้ทำให้โรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ต้องปิดทำการและจำเป็นต้องขนส่งน้ำเข้ามาด้วยรถบรรทุก นอกจากนี้ ค่าเบี้ยประกันภัยในสหรัฐอเมริกาก็เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าตั้งแต่ปี ค.ศ. 2017 อันเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นอย่างมหาศาลในการรับมือกับภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ

สถานการณ์เหล่านี้ ล้วนเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า ความเปราะบางด้านสิ่งแวดล้อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อทั้งบริษัทและผู้บริโภคในทุกห่วงโซ่อุปทาน การสร้างภาวะพร้อมผัน (resilience) ให้กับธุรกิจจึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน โดยข้อมูลจาก CDP พบว่ากว่า 90% ของบริษัทขนาดใหญ่ได้เริ่มมีกระบวนการในการระบุและประเมินความเสี่ยงและโอกาสด้านสิ่งแวดล้อมของตนแล้ว ซึ่งจากข้อมูลที่เปิดเผย พบว่า 67% ของบริษัทขนาดใหญ่และ SMEs ระบุว่าความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมที่ถูกระบุนั้นมีผลกระทบทางการเงินอย่างมีนัยสำคัญ

โดยความเสี่ยงที่ถูกประเมินว่ามีผลกระทบสูงสุดคือ ความเสี่ยงด้านนโยบาย (28%) ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงด้านการกำหนดราคาคาร์บอน มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น หรือการเปลี่ยนแปลงกฎหมายระดับประเทศ ตามมาด้วยความเสี่ยงทางกายภาพแบบฉับพลัน (19%) เช่น น้ำท่วม ไฟป่า หรือภัยแล้ง และความเสี่ยงทางกายภาพแบบเรื้อรัง (14%) เช่น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น คุณภาพน้ำที่ลดลง หรือการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน

ทั้งนี้ การจัดการความเสี่ยงเหล่านี้อย่างเหมาะสม นอกจากจะเป็นการป้องกันความเสียหายแล้ว ยังเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เนื่องจากต้นทุนในการแก้ไขปัญหามีมูลค่าต่ำกว่าผลกระทบทางการเงินในระยะสั้นที่อาจเกิดขึ้นได้ถึงหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

อานิสงส์จากการเปิดเผยข้อมูล มิได้หมายความเพียงการลดความเสี่ยงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลตอบแทนที่บริษัทได้รับจากการลงทุนในการเปิดเผยข้อมูลและลงมือจัดการกับความเสี่ยง โดยผลตอบแทนที่ได้รับมีทั้งในรูปตัวเงินและที่มิใช่ตัวเงิน ซึ่งเกิดจากความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การสร้างภาวะพร้อมผันทางธุรกิจ และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ

การเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมช่วยให้บริษัทเข้าใจความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่และสามารถตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้างโมเดลธุรกิจที่พร้อมผัน เหนือไปกว่านั้น คือ การช่วยให้บริษัทเติบโตในระยะยาว ช่วยให้บริษัทตัดสินใจได้ดีขึ้น เพิ่มการดึงดูดเม็ดเงินลงทุน เตรียมพร้อมรับมือกับกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงไป และยังช่วยระบุแหล่งรายได้ใหม่ ๆ โดยบริษัทที่ตระหนักและลงมือลดความเสี่ยงแล้ว จะสามารถเข้าถึงโอกาสทางการค้าใหม่ ๆ ได้อย่างเต็มที่

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก CDP ชี้ให้เห็นว่า แม้จะมีโอกาสมากมายในเศรษฐกิจสีเขียว แต่บริษัทมากกว่าครึ่งยังคงมิได้นำเสนอสินค้าหรือบริการที่ปล่อยคาร์บอนต่ำหรือใช้น้ำน้อย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้จะมีการตระหนักถึงปัญหา แต่การเปลี่ยนผ่านไปสู่ธุรกิจที่ยั่งยืนยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น บริษัทจำนวนมากยังคงขาดวิสัยทัศน์แบบองค์รวมในการจัดการกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมที่ทำให้พลาดโอกาสในการได้รับอานิสงส์อย่างเต็มที่

รายงานของ CDP ยังเน้นย้ำถึงบทบาทที่สำคัญของห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉลี่ยแล้ว 75% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของกิจการมาจากผู้ส่งมอบ และยังมีความต้องการน้ำสูงในหลายอุตสาหกรรม ซึ่งมักมาจากประเทศที่เผชิญภาวะขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง ดังนั้น การมีส่วนร่วมกับผู้ส่งมอบ จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างภาวะพร้อมผันทางธุรกิจ การทำความเข้าใจการดำเนินงานของห่วงโซ่คุณค่า และสร้างจูงใจให้ผู้ส่งมอบปฏิบัติอย่างยั่งยืน จะช่วยลดผลกระทบจากแรงกระแทกต่าง ๆ ได้

แม้ว่าแรงจูงใจทางการเงินจะเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม แต่มีเพียง 11% ของกิจการที่เสนอแรงจูงใจทางการเงินแก่ผู้ส่งมอบเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อม การวิจัยของ CDP พบว่าผู้ส่งมอบที่ได้รับแรงจูงใจทางการเงินมีแนวโน้มที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าผู้ส่งมอบที่ได้รับเพียงการฝึกอบรมถึง 52%

ข้อมูลจากรายงานฉบับนี้ ตอกย้ำถึงแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน โดยที่การเปิดเผยข้อมูลมิได้เป็นเพียงกิจกรรมเพื่อความโปร่งใสอีกต่อไป แต่กำลังจะกลายเป็นความจำเป็นทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ เหตุผลทางการเงินสำหรับการลงมือปฏิบัติเพื่อสิ่งแวดล้อมแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้บริษัทซึ่งนำข้อมูลที่เปิดเผยไปใช้ในการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่จับต้องได้ โดยอานิสงส์ที่แท้จริงมิได้อยู่ที่การรับรู้เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกให้กลายเป็นผลกระทบที่แท้จริง

กิจการจำต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้าง ครอบคลุมทั้งการตระหนักรู้ การลงมือปฏิบัติ และการเติบโต เพื่อการปลดล็อกให้เกิดเป็นอานิสงส์อย่างเต็มที่ โดยรายงานของ CDP ได้ให้ข้อแนะนำหลัก ๆ เพื่อสร้างภาวะพร้อมผันทางธุรกิจที่ประกอบด้วย การจัดทำกระบวนการเพื่อจัดการกับความสัมพันธ์และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่คุณค่า การทำความเข้าใจความเสี่ยงและโอกาสทั้งในแง่ของทำเลที่ตั้งและผลกระทบทางการเงิน การมีส่วนร่วมกับผู้ส่งมอบในการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม การสร้างกลยุทธ์และแผนปฏิบัติการจากประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมที่ค้นพบซึ่งควรครอบคลุมแผนการเปลี่ยนผ่านที่มีนัยสำคัญ การสร้างสรรค์และได้รับประโยชน์จากโครงการริเริ่มและผลิตภัณฑ์สีเขียวใหม่ ๆ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการตอบสนองต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม

การลงมือทำตามข้อแนะนำดังกล่าว จะเป็นก้าวสำคัญสำหรับกิจการในการปกป้องผลกระทบทางการเงินที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และสามารถคว้าโอกาสการเติบโตในตลาดเกิดใหม่ได้อย่างเต็มที่


[Original Link]



SEAFCO หุ้นฐานราก ฟื้นเข้าติดทำเนียบ ESG100 ปี 68


บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) (SEAFCO) บริษัทชั้นนำในการก่อสร้างฐานรากและเสาเข็มเจาะในประเทศไทย ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ. 2568 โดยสถาบันไทยพัฒน์


ดร.ณรงค์ ทัศนนิพันธ์ (คนขวา) กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) (SEAFCO) รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 Company ในฐานะบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ประจำปี 2568 จากนายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ (คนซ้าย) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ สำนักงานใหญ่ บมจ.ซีฟโก้ ถ.พระยาสุเรนทร์ คลองสามวา กรุงเทพฯ

ดร.ณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ ประกาศให้ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) (SEAFCO) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2568 ด้วยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (Property & Construction) และบริษัทได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นปีที่ 4 (พ.ศ.2562-2564 และ พ.ศ.2568)

“ในปีที่ผ่านมา ธุรกิจของเราต้องเผชิญกับความท้าทายจากทั้งปัจจัยทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมก่อสร้าง แต่ด้วยความมุ่งมั่นและการดำเนินงานที่ยึดมั่นในหลักของการพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งรักษาความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจเสาเข็มเจาะและกำแพงกันดินอย่างมีประสิทธิภาพ

ในปี 2568 นี้ บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าในระยะยาว ผ่านการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เราได้นำเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเข้ามาปรับใช้ในการก่อสร้าง เช่น ระบบควบคุมการสั่นสะเทือนและเสียงรบกวน ตลอดจนการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและลดของเสียในกระบวนการผลิต นอกจากนี้ เรามุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร การเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่โปร่งใส และส่งเสริมความปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้บริษัทฯ สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน”


โดยการจัดระดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน

สถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่สิบเอ็ดในปีนี้

การจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนโดยสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ เทียบกับชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



กองรีท AIMIRT ติดอันดับหลักทรัพย์ ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5


ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอไอเอ็ม อินดัสเทรียล โกรท (AIMIRT) กองทรัสต์ที่ลงทุนในทรัพย์สินประเภทอุตสาหกรรม เช่น อาคารคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า อาคารคลังห้องเย็น อาคารโรงงาน และถังเก็บสารเคมีเหลว ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่ให้ความสำคัญในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ. 2568 โดยสถาบันไทยพัฒน์


นายจรัสฤทธิ์ อรรถเวทยวรวุฒิ (ตำแหน่งที่ 3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด พร้อมคณะ ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอไอเอ็ม อินดัสเทรียล โกรท (AIMIRT) รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 Company ประจำปี 2568 ในฐานะผู้จัดการกองรีทที่ให้ความสำคัญในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) จากนายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ (ตำแหน่งที่ 2 จากซ้าย) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ สำนักงานใหญ่ บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด อาคารจีพีเอฟ ถนนวิทยุ ลุมพินี กรุงเทพฯ

นายจรัสฤทธิ์ อรรถเวทยวรวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ ประกาศให้ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอไอเอ็ม อินดัสเทรียล โกรท (AIMIRT) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2568 ด้วยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นหลักทรัพย์ที่ให้ความสำคัญในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นเวลา 5 ปีต่อเนื่อง (พ.ศ. 2564-2568)

“AIMIRT เป็นกองทรัสต์อิสระที่สามารถสร้างคุณค่าที่ไม่เพียงมุ่งเน้นผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน แต่ยังให้ความสำคัญกับการดำเนินงานภายใต้หลักธรรมาภิบาล และความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ตามแนวคิด การเติบโตอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Growth) เพื่อการเป็นผู้นำในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์อิสระในประเทศไทย และบริหารจัดการกองทรัสต์ให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ ในปี 2568 กองทรัสต์ AIMIRT ได้มีการจัดทำรายงาน ESG เผยแพร่เป็นครั้งแรก พร้อมกับตั้งคณะทำงานด้าน ESG เพื่อผลักดันกลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลในระดับองค์กร เพื่อมุ่งสู่การเป็น ESG-driven Organization โดยเน้นการพัฒนาองค์กรให้มีแนวคิดในเรื่องการลงทุนอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับการพัฒนาบุคลากรซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตอย่างมีความรับผิดชอบ”


ปัจจุบัน AIMIRT นับเป็นกองรีทอิสระรายแรกที่มีสินทรัพย์รวมกว่า 14,000 ล้านบาท โดยมีการกระจายตัวทั้งในประเภทของอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุน ทำเลที่ตั้ง ธุรกิจ และสัญชาติของผู้เช่า

โดยการจัดระดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน

สถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่สิบเอ็ดในปีนี้

การจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนโดยสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ เทียบกับชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]