Thaipat Institute

GRI Certified Training Partner นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2556

รู้จัก    CG   ¦   ESG   ¦   CSR   ¦   CSV   ¦   SD   ¦   SE   ¦   SB

TNFD กรอบการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนเกี่ยวกับธรรมชาติ


ในการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ 15 (CBD COP 15) เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2565 รัฐภาคี 196 ประเทศ ได้ตกลงกันในกรอบงานคุนหมิง-มอนทรีออลว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของโลก (Kunming-Montreal Global Biodiversity Framework: KM-GBF) ซึ่งเป็นแผนสำหรับเร่งดำเนินการเพื่อหยุดยั้งการสูญเสียและนำความหลากหลายทางชีวภาพกลับคืนมา ภายในปี ค.ศ. 2030 และให้ประชาคมโลกมีคุณภาพชีวิตที่ดีควบคู่กับการมีธรรมชาติที่สมบูรณ์ ภายในปี ค.ศ. 2050 ความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า คือ การลดภัยคุกคามต่อความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนและการแบ่งปันผลประโยชน์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน และการแสวงหาเครื่องมือการแก้ปัญหาการดําเนินงานและการผลักดันให้ความหลากหลายทางชีวภาพเป็นกระแสหลัก

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 2021 ได้มีการก่อตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับธรรมชาติ (Task Force on Nature-related Financial Disclosures: TNFD) เพื่อจัดทำกรอบการรายงานที่ครอบคลุมและเข้มงวด โดยได้ออกเป็นข้อเสนอแนะการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับธรรมชาติ ในปี ค.ศ. 2023 เพื่อสนับสนุนให้ยกระดับการเปลี่ยนแปลงกระแสเงินทั่วโลก จากการหลีกเลี่ยงและลดผลกระทบเชิงลบต่อธรรมชาติ ไปสู่การสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อธรรมชาติ

TNFD มีความสำคัญยิ่งต่อการส่งเสริมการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) ข้อ 15 โดยในกรอบงาน KM-GBF เรียกร้องอย่างชัดเจนให้ใช้มาตรการทางกฎหมาย การบริหาร และนโยบายเพื่อส่งเสริมและเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ บรรษัทข้ามชาติ และสถาบันการเงิน ตรวจสอบ ประเมินและเปิดเผยความเสี่ยง การพึ่งพาและผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสม่ำเสมอ

ข้อเสนอแนะของ TNFD จะส่งเสริมให้เกิดการรายงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพที่สอดคล้องกันทั่วโลก มีองค์ประกอบการรายงานแบ่งออกเป็น 4 หมวดหลัก ได้แก่ (1) การกำกับดูแล (2) กลยุทธ์ (3) การจัดการความเสี่ยงและผลกระทบ และ (4) ตัวชี้วัดและเป้าหมาย ที่พ้องกับการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ (TCFD) โดยมีรายการที่แนะนำให้เปิดเผยทั้งหมด 14 รายการ

แม้ว่าจะมีความคล้ายคลึงกันในองค์ประกอบระหว่าง TCFD และ TNFD แต่ความแตกต่างที่สำคัญคือ TCFD มุ่งเน้นเฉพาะการเปิดเผยความเสี่ยงและโอกาสเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ ขณะที่ข้อเสนอแนะของ TNFD สนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง โอกาส ผลกระทบ และการพึ่งพาที่ครอบคลุมถึงระบบนิเวศ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ การจัดการมลภาวะ และความหลากหลายทางชีวภาพ นอกเหนือจากเรื่องสภาพภูมิอากาศ

จากข้อมูลของ TNFD นับตั้งแต่มีการเผยแพร่ข้อเสนอแนะ ในปี ค.ศ. 2023 มีองค์กรราว 502 แห่ง ใน 54 ประเทศ (ข้อมูลเดือนตุลาคม 2567) ได้ประกาศรับเอาแนวทางของ TNFD ไปใช้ในการเพิ่มความโปร่งใสต่อการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง โอกาส ผลกระทบ และการพึ่งพาเกี่ยวกับธรรมชาติ โดยในจำนวนนี้มีองค์กรในประเทศไทย จำนวน 6 แห่ง ที่เข้าร่วม

หน่วยงาน IFRS (International Financial Reporting Standards) ได้เริ่มศึกษาถึงความจำเป็นต่อการจัดทำมาตรฐานเกี่ยวกับความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศ และบริการจากระบบนิเวศ ตามที่ระบุไว้ในแผนงานระหว่างปี ค.ศ. 2024-2026 เพื่อประเมินว่าเป็นข้อมูลที่ผู้ลงทุนสนใจหรือต้องการให้กิจการเปิดเผยในรายงานทางการเงินเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนมากน้อยเพียงใด

ขณะที่ หน่วยงาน GRI (Global Reporting Initiative) ในฐานะผู้กำหนดมาตรฐานโลกด้านการรายงานความยั่งยืน ได้ออกมาตรฐาน GRI 101: Biodiversity 2024 ที่สอดคล้องกับกรอบ KM-GBF เพื่อช่วยองค์กรธุรกิจทำความเข้าใจถึงการตัดสินใจและการดำเนินงานทางธุรกิจที่อาจนำไปสู่การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ผลกระทบที่เกิดขึ้นในสายคุณค่า และวิธีการในการจัดการผลกระทบดังกล่าว

หากมองผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่ปรากฎอยู่ ปฏิเสธไม่ได้ว่า อนาคตของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลก และความเจริญรุ่งเรืองในอนาคต ขึ้นอยู่กับสภาพธรรมชาติ การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างชาญฉลาดควบคู่ไปกับการบำรุงรักษาบริการจากระบบนิเวศ

การประเมินคุณค่า อนุรักษ์ ฟื้นฟูระบบนิเวศ ถือเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความเจริญรุ่งเรืองของคนรุ่นปัจจุบันและรุ่นอนาคต ซึ่งหากองค์กรธุรกิจ ยังคงมองว่าธรรมชาติเป็นผู้จัดหาปัจจัยสำคัญที่มีไม่จำกัดและไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ในกระบวนการดำเนินงานและห่วงโซ่คุณค่า รวมทั้งไม่ยอมรับถึงการมีส่วนร่วมรับผิดชอบในฐานะผู้ดูแลโลก ความยั่งยืนที่แท้จริงจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้


[Original Link]



บมจ. เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ ติดโผหุ้นกลุ่ม ESG Emerging ปี 68


บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (PCE) ผู้ประกอบธุรกิจน้ำมันปาล์มครบวงจร ที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 40 ปี ได้รับคัดเลือกให้เป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) เข้าอยู่ในกลุ่มบริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน หรือ ESG Emerging List ปี 2568

สถาบันไทยพัฒน์ ประกาศให้ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (PCE) เป็นหนึ่งในรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่น่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging ปี 2568 ด้วยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน โดยใช้ข้อมูลด้าน ESG ที่ปรากฏในการเปิดเผยข้อมูล การดำเนินงานที่สะท้อนปัจจัยด้าน ESG และความริเริ่มหรือลักษณะธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับประเด็นด้าน ESG ของกิจการ


นายพรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล (คนซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการสายงานกลยุทธ์และพัฒนาองค์กร บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (PCE) รับมอบประกาศนียบัตร ESG Emerging Company ปี 2568 จากนายวรณัฐ เพียรธรรม (คนขวา) กรรมการและผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ ณ บมจ. เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ สำนักงานกรุงเทพฯ

นายพรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล รองกรรมการผู้จัดการสายงานกลยุทธ์และพัฒนาองค์กร บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "จากวิสัยทัศน์ของกลุ่มบริษัทในการเป็นผู้นำอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม ด้วยคุณภาพและบริการครบวงจร สู่ความมั่นคงและยั่งยืน และจุดแข็งของบริษัทฯ ที่มีความพร้อมด้านการจัดการระบบซัพพลายเชนในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม บริษัทฯ จึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาธุรกิจน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน โดยมีนโยบายที่ชัดเจนในการส่งเสริมการผลิตน้ำมันปาล์มที่ได้มาตรฐานสากล พร้อมทั้งปฏิบัติตามหลักการของ Roundtable on Sustainable Palm Oil (RSPO) เพื่อให้มั่นใจว่า บริษัทฯ ได้มีการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน

ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทได้ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และผู้มีส่วนได้เสียในห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจ รวมทั้งความสำคัญในการได้รับการพิจารณาว่าเป็นองค์กรที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ด้วยการเลือกใช้เครื่องจักรและกระบวนการผลิต รวมถึงระบบการขนส่งที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในกลุ่มบริษัท มีระบบการบริหารจัดการเพื่อป้องกันผลกระทบด้านความปลอดภัย สุขภาพ สิ่งแวดล้อม และสังคมจากการดำเนินงานให้น้อยที่สุด และอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างเกื้อกูล โดยเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้มีส่วนร่วมในการดำเนินงานอย่างโปร่งใส เพื่อให้กลุ่มบริษัท และสังคมเติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่กัน"


การจัดอันดับหลักทรัพย์ที่น่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่กันในกระบวนการประเมิน

สำหรับสถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG Emerging เป็นครั้งแรกในปี 2563

การจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจในกลุ่มบริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน หรือ ESG Emerging List ถือเป็นแหล่งข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน เพื่อรองรับความต้องการของผู้ลงทุนที่ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ และเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีคุณภาพและได้รับผลตอบแทนที่มิได้ด้อยไปกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



NER ติดอันดับ “ESG100” 7 ปีต่อเนื่อง

สะท้อนการสร้างคุณค่าที่มากกว่ายาง


บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) (NER) ผู้ผลิตและจำหน่ายยางแท่ง ยางแผ่นรมควัน ยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์และกลุ่มผู้ค้าคนกลางทั้งในและต่างประเทศ ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ. 2568 โดยสถาบันไทยพัฒน์


นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ (คนกลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) (NER) และคณะ รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 Company ในฐานะบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ประจำปี 2568 จากนายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ (ที่สองจากซ้าย) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ สำนักงานขาย นอร์ทอีส รับเบอร์ กรุงเทพฯ

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ ประกาศให้ บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) (NER) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2568 ด้วยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มธุรกิจการเกษตร (Agribusiness) และบริษัทได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 (พ.ศ.2562-2568)

“นอกจากการเติบโตทางธุรกิจ บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับสังคม โดยยึดมั่นในพันธกิจ NER สร้างคุณค่าที่มากกว่ายาง และวิสัยทัศน์ เราคือผู้ผลิตยางธรรมชาติชั้นนำระดับโลก ที่มุ่งสร้างคุณค่าและอนาคตที่ยั่งยืนให้กับทุกชุมชนที่มีเรา บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในการผลิตยางธรรมชาติคุณภาพสูงที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ดำเนินธุรกิจด้วยความสุจริต โปร่งใส และยุติธรรม โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม

โดยบริษัทฯ มีการส่งเสริมการใช้วัตถุดิบจากแหล่งที่ได้รับการรับรองว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามกฎระเบียบของยุโรปว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (EUDR) มาตรฐานจัดการป่าไม้ของสภาพิทักษ์ป่าสากล (FSC) และเพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบที่มีส่วนผสมของวัสดุรีไซเคิล เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ แสดงถึงความรับผิดชอบและมุ่งเน้นการทำธุรกิจยางพาราอย่างยั่งยืนที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล”


โดยการจัดระดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน

สถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่สิบเอ็ดในปีนี้

การจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนโดยสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ เทียบกับชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



หาดทิพย์ ติดทำเนียบหุ้น ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8

ตอกย้ำผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มยั่งยืนในภาคใต้


บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) (HTC) ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มเครือโคคา-โคล่า ในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียนในปี พ.ศ. 2568 โดยสถาบันไทยพัฒน์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของหาดทิพย์ในการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างรับผิดชอบและยั่งยืน


พลตรี พัชร รัตตกุล (ขวามือ) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) (HTC) รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 Company ในฐานะบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ประจำปี 2568 จากนายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ (ซ้ายมือ) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ บมจ.หาดทิพย์ สำนักงานกรุงเทพฯ

พลตรี พัชร รัตตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “สถาบันไทยพัฒน์ ประกาศให้ บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) (HTC) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2568 ด้วยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (Agro & Food industry) และบริษัทได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นปีที่ 8 (พ.ศ. 2558 และ พ.ศ. 2562-2568)

“หาดทิพย์มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการวิเคราะห์และเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต ช่วยให้สามารถบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างแม่นยำ ลดการสูญเสีย และยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้สม่ำเสมอควบคู่กับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยร่วมกับพันธมิตรในการพัฒนาขวดฝา PET รุ่นใหม่ ให้มีขนาดเล็กลง แต่ยังคงมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการดำเนินงานผ่านโครงการ Light Weight Packaging ที่สามารถลดการใช้พลาสติกสำหรับผลิตบรรจุภัณฑ์ได้มากถึง 452.19 ตัน และอลูมิเนียม 11.55 ตัน ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนและการใช้ทรัพยากรแล้ว ยังมีส่วนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบข่ายที่ 3 เกี่ยวกับการจัดหาวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิผล คิดเป็น 2,567 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า”

สถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่สิบเอ็ดในปีนี้ โดยการจัดระดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน

การจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนโดยสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ เทียบกับชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ ติดโผหุ้นกลุ่ม ESG Emerging ปี 68


บริษัท เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (MPJ) ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจร โดยครอบคลุมทั้งการขนส่งทางบกต่อเนื่องกับท่าเรือ การบริหารลานตู้คอนเทนเนอร์ การจัดการขนส่งระหว่างประเทศ (Freight Forwarder) และบริการคลังสินค้า ได้รับคัดเลือกให้เป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) เข้าอยู่ในกลุ่มบริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน หรือ ESG Emerging List ปี 2568

สถาบันไทยพัฒน์ ประกาศให้ บริษัท เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (MPJ) เป็นหนึ่งในรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่น่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging ปี 2568 ด้วยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน โดยใช้ข้อมูลด้าน ESG ที่ปรากฏในการเปิดเผยข้อมูล การดำเนินงานที่สะท้อนปัจจัยด้าน ESG และความริเริ่มหรือลักษณะธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับประเด็นด้าน ESG ของกิจการ


นายจีระศักดิ์ มานะตระกูล (คนขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (MPJ) รับมอบประกาศนียบัตร ESG Emerging Company ปี 2568 จากนายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ (คนซ้าย) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ บมจ. เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ สำนักงานกรุงเทพฯ

นายจีระศักดิ์ มานะตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "การที่ MPJ ได้เป็น 1 ใน 13 บริษัทที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้เข้าอยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG Emerging ของสถาบันไทยพัฒน์ ในปีนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยคำนึงถึงปัจจัยด้าน ESG รวมทั้งให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้เสียของบริษัทฯ เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำในการให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรของประเทศไทย

ทั้งนี้ MPJ ได้ให้ความสำคัญกับกิจกรรมและบริการที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน การให้บริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านคาร์บอนฟุตพรินต์ พร้อมกับการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายที่บริษัทฯ ตั้งไว้อย่างจริงจัง"


การจัดอันดับหลักทรัพย์ที่น่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่กันในกระบวนการประเมิน

สำหรับสถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG Emerging เป็นครั้งแรกในปี 2563

การจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจในกลุ่มบริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน หรือ ESG Emerging List ถือเป็นแหล่งข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน เพื่อรองรับความต้องการของผู้ลงทุนที่ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ และเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีคุณภาพและได้รับผลตอบแทนที่มิได้ด้อยไปกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



เอสไอเอส ติดอันดับหลักทรัพย์ ESG100 ปี 2568


บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (SIS) ผู้นำธุรกิจขายส่งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ต่อพ่วงและอุปกรณ์สำนักงานอัตโนมัติ โดยเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับผู้ผลิตชั้นนำระดับโลก ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ. 2568 โดยสถาบันไทยพัฒน์


นายมณฑล มังกรกาญจน์ (ที่สามจากขวา) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (SIS) พร้อมคณะ รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 Company ในฐานะบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ประจำปี 2568 จากนายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ (ที่สองจากซ้าย) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ อาคารภคินท์ ถนนรัชดาภิเษก เขตดินแดง กรุงเทพฯ

นายมณฑล มังกรกาญจน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ ประกาศให้ บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (SIS) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2568 ด้วยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และบริษัทได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นปีที่ 7 (พ.ศ. 2560-2565 และ พ.ศ. 2568)

“บริษัทฯ ตระหนักถึงบทบาทและความรับผิดชอบในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตควบคู่ไปกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน จึงมุ่งมั่นสร้างสมดุลระหว่างผลประกอบการทางธุรกิจ การดูแลสังคม การรักษาสิ่งแวดล้อมและการปฏิบัติตามหลักบรรษัทภิบาลที่ดี เพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน และสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้ขยายขอบเขตธุรกิจโดยมุ่งเน้นการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น สินค้าในกลุ่มพลังงานทดแทน เพื่อมีส่วนร่วมในการลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลือง และช่วยส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในภาคธุรกิจและสังคม”


โดยการจัดระดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน

สถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่สิบเอ็ดในปีนี้

การจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนโดยสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ เทียบกับชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



กิจการ VSME: วิสาหกิจวิถียั่งยืน ภาคสมัครใจ


เป็นที่ทราบดีว่า วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) มีสัดส่วนของจำนวนกิจการมากกว่า 90% ของธุรกิจ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกันราว 50% ของจีดีพีโลก และก่อให้เกิดการจ้างงานกว่า 60%-70% ของการจ้างงานทั่วโลก

ท่ามกลางสงครามการค้าที่ใช้กลไกภาษีนำเข้า ซึ่งจุดเชื้อโดยสหรัฐอเมริกากับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทำให้กิจการ SME ที่ต้องส่งออกไปยังสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับแรงกดดันที่สินค้าซึ่งส่งไปวางจำหน่ายในตลาดสหรัฐฯ อาจมีราคาที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับคู่แข่งท้องถิ่นในสหรัฐฯ ที่ไม่โดนกำแพงภาษีนำเข้า

และแม้กิจการ SME ในประเทศเอง ที่มิได้ส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ก็อาจได้รับผลกระทบจากภาษีการค้า เนื่องจากการเจรจาที่ทำให้ไทยได้ลดอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ มาอยู่ที่ 19% (จากเดิม 36%) เราต้องแลกกับการยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าที่สหรัฐฯ ส่งมาขายยังประเทศไทยกว่าหมื่นรายการ เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง เนื้อสัตว์ ซึ่งมีผลให้สินค้าเหล่านี้ อาจมีราคาจำหน่ายที่ถูกกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการในประเทศมีกำไรลดลง หรืออาจประสบภาวะขาดทุนเนื่องจากไม่สามารถแข่งขันราคาได้

นอกจากประเด็นการค้าจากปัจจัยด้านภาษีข้ามพรมแดนแล้ว กิจการ SME ยังต้องเผชิญกับประเด็นความยั่งยืนจากปัจจัยด้าน ESG (Environmental, Social and Governance) ที่มาในรูปแบบของการเก็บภาษีเฉพาะ เช่น มาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรป ที่จะเริ่มมีการคิดภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดนกับสินค้าที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง สำหรับสินค้านำเข้าที่มีน้ำหนักรวมกันเกิน 50 ตันต่อปีต่อราย นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2026 เป็นต้นไป

ในภูมิภาคยุโรป ได้มีความพยายามในการช่วยเหลือกิจการ SME เพื่อมิให้มีภาระในการขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนทั้งในแง่ของการดำเนินงานและการเปิดเผยข้อมูลมากจนเกินไป ซึ่งโดยปกติ ลูกค้าของกิจการ SME ซึ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความยั่งยืน มักจะเป็นผู้ร้องขอข้อมูล ESG จากกิจการ SME ที่เป็นผู้ส่งมอบ (Supplier) ในรูปของแบบสอบถามหรือแบบกรอกข้อมูลที่ไม่เหมือนกัน (แต่ตอบด้วยชุดข้อมูล ESG เดียวกัน) ทำให้กิจการ SME ต้องมีภาระในการจัดทำข้อมูล ESG ส่งให้ลูกค้าตามรูปแบบที่แต่ละองค์กรจัดทำขึ้นเองอย่างเป็นเอกเทศ

เพื่อเป็นการลดภาระให้กิจการ SME คณะกรรมาธิการยุโรป จึงได้ประกาศรับรองให้ใช้มาตรฐาน VSME ที่จัดทำขึ้นโดยคณะที่ปรึกษาการรายงานทางการเงินแห่งยุโรป (EFRAG) สำหรับกิจการซึ่งมีการจ้างงานไม่เกิน 1,000 คน ที่ต้องการรายงานข้อมูลความยั่งยืนโดยสมัครใจ (Voluntary) สามารถใช้มาตรฐานดังกล่าว เพื่อจำกัดการร้องขอข้อมูล ESG ในห่วงโซ่คุณค่า (value-chain cap) จากกิจการขนาดใหญ่ มิไห้เกินกว่าที่มาตรฐาน VSME กำหนดไว้

ในข้อกำหนดตามมาตรฐาน VSME ที่คณะกรรมาธิการยุโรปให้การรับรองไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 แนะนำให้กิจการ VSME ควรเปิดเผยข้อมูลพื้นฐานของกิจการ แนวปฏิบัติ นโยบาย และความริเริ่มที่จะเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืน เพื่อมุ่งลดผลกระทบเชิงลบ และเพิ่มผลกระทบเชิงบวกให้แก่สังคมและสิ่งแวดล้อม

โดยประเด็นความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมที่กิจการ VSME ควรคำนึงถึงในการดำเนินงาน ได้แก่ พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มลภาวะทางอากาศ ทางน้ำ และผิวดิน ความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้น้ำ การใช้ทรัพยากร เศรษฐกิจหมุนเวียน และการจัดการของเสีย

ส่วนประเด็นความยั่งยืนด้านสังคมที่กิจการ VSME ควรคำนึงถึงในการดำเนินงาน ได้แก่ คุณลักษณะทั่วไปของแรงงาน สุขภาพและความปลอดภัย ค่าตอบแทน สภาพการจ้าง และการฝึกอบรม

และประเด็นความยั่งยืนด้านธรรมาภิบาลที่กิจการ VSME ควรคำนึงถึงในการดำเนินงาน ได้แก่ การประกอบธุรกิจด้วยความโปร่งใส รวมถึงการรายงานบทลงโทษและค่าปรับจากเหตุทุจริตและการให้สินบน (ถ้ามี)

ทั้งนี้ ประโยชน์ที่กิจการ VSME จะได้รับจากการดำเนินงานโดยคำนึงถึงประเด็นความยั่งยืนข้างต้น ประกอบด้วย

(1) การรักษามาตรฐานการประกอบธุรกิจที่คำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่สามารถสร้างความแตกต่างและช่วยยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันเหนือผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ในตลาด

(2) การลดภาระการจัดทำข้อมูลสำคัญทางธุรกิจที่ถูกร้องขอจากคู่ค้าสำหรับการคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อผู้ค้า (Vendor List) และจากสถาบันการเงินสำหรับการขอสินเชื่อหรือการเข้าลงทุนในกิจการ ด้วยการเปิดเผยข้อมูลเท่าที่จำเป็นตามมาตรฐาน VSME ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

(3) การเพิ่มการเข้าถึงแหล่งเงินตามเกณฑ์สินเชื่อสีเขียวในอัตราดอกเบี้ยต่ำ (เช่น สินเชื่อเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การก่อสร้างและปรับปรุงอาคารประหยัดพลังงาน การกำจัดและบำบัดของเสีย) และการลงทุนที่ยั่งยืนพร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษี (เช่น การลงทุนด้านขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลงทุนปรับเครื่องจักรให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การลงทุนในนวัตกรรมด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม)

(4) การขยายโอกาสสู่ตลาดใหม่ทั้งในประเทศและนอกประเทศ ผ่านห่วงโซ่อุปทานที่ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านแรงงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่สอดคล้องกับกฎระเบียบสำหรับใช้ในการกำกับดูแลและความรับผิดชอบในการประกอบธุรกิจที่เป็นสากล เช่น บทบัญญัติว่าด้วยการตรวจสอบสถานะความยั่งยืนของกิจการ (CSDDD) ของสหภาพยุโรป

และเพื่อเป็นการยกระดับกิจการ SME ในประเทศไทย ที่ต้องพึ่งพาห่วงโซ่การค้าโลกโดยเฉพาะในภูมิภาคยุโรป สถาบันไทยพัฒน์ ได้จัดตั้ง VSME Forum เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้สำหรับกิจการที่มีการจ้างงานไม่เกิน 1,000 คน และสนใจนำปัจจัยด้าน ESG มาใช้ต่อยอดในธุรกิจโดยสมัครใจ เพื่อมุ่งสู่การเป็นวิสาหกิจวิถียั่งยืน และเพิ่มโอกาสในการค้าขายกับบรรษัทข้ามชาติหรือกิจการขนาดใหญ่ที่ต้องมีการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้าน ESG เช่น บทบัญญัติว่าด้วยการรายงานความยั่งยืนของกิจการ (CSRD) ของสหภาพยุโรป เป็นต้น


[Original Link]



อลิอันซ์ อยุธยา แคปปิตอล ติดทำเนียบ หุ้น ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4


บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (AYUD) บริษัทเพื่อการลงทุนในธุรกิจประกันชีวิต และธุรกิจประกันภัย โดยเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจในกลุ่มอลิอันซ์ ผู้ประกอบธุรกิจบริการทางการเงินชั้นนำจากประเทศเยอรมนี ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ. 2568 โดยสถาบันไทยพัฒน์


นายโทมัส วิลสัน (คนขวา) กรรมการผู้อำนวยการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (AYUD) รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 Company ในฐานะบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ประจำปี 2568 จากนายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ (คนซ้าย) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ สำนักงานใหญ่ บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา อาคารเพลินจิตทาวเวอร์ ปทุมวัน กรุงเทพฯ

นายโทมัส วิลสัน กรรมการผู้อำนวยการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ ประกาศให้ บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (AYUD) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2568 ด้วยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิต (Insurance) และบริษัทได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน (พ.ศ. 2565-2568) จากการจัดระดับของสถาบันไทยพัฒน์ ซึ่งพิจารณาข้อมูลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน

“บริษัทฯ ได้นำหลักการเรื่อง ESG มาบูรณาการและใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการดำเนินธุรกิจในทุกมิติของบริษัทฯ เพื่อตอบวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจ “เราใส่ใจในวันพรุ่งนี้ (We care for tomorrow)” โดยบริษัทฯ มีการจัดตั้งคณะกรรมการด้านความยั่งยืนขึ้น เพื่อมากำกับและติดตามการทำงานของหน่วยงานภายในให้สอดคล้องกับนโยบายความยั่งยืนและเป็นไปตามเป้าหมายของบริษัทฯ

ในด้านการลงทุน บริษัทฯ ได้คำนึงถึงการรวมปัจจัยด้าน ESG เข้าไว้ในการวิเคราะห์การลงทุนและกระบวนการตัดสินใจของบริษัทฯ เพื่อลดความเสี่ยงด้านความยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเสี่ยงที่เกิดจากแนวโน้มหรือเหตุการณ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะต้องได้รับการพิจารณาให้เป็นไปตามข้อกำหนดด้าน ESG ของกลุ่มอลิอันซ์ และจะไม่ลงทุนในทรัพย์สินที่อยู่ในรายการยกเว้นของ ESG

ทั้งนี้ กลุ่มอลิอันซ์ บริษัทผู้ถือหุ้นหลักของ อลิอันซ์ อยุธยา ยังได้เร่งดำเนินกลยุทธ์รับมือปัญหาสภาพภูมิอากาศของโลก โดยมีความตั้งใจที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากพื้นที่ที่กลุ่มอลิอันซ์ดำเนินธุรกิจในกว่า 70 แห่งทั่วโลก”


สถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่สิบเอ็ดในปีนี้ ทั้งนี้ การจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนโดยสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ เทียบกับชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล เข้าทำเนียบ ESG100 ปี 68 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3


บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (AAI) ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยง และอาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ. 2568 โดยสถาบันไทยพัฒน์


นายเอกราช พรรณสังข์ (ที่สองจากขวา) กรรมการผู้จัดการ และนางสาววรัญรัชต์ อัสสานุพงศ์ (ขวาสุด) ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงิน บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (AAI) รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 Company ในฐานะบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ประจำปี 2568 จากนายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ (ที่สองจากซ้าย) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ สำนักงานใหญ่ บมจ. เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จ.สมุทรสาคร

นายเอกราช พรรณสังข์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ ประกาศให้ บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (AAI) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2568 ด้วยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (Agro & Food industry) และบริษัทได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 (พ.ศ. 2566-2568)

“AAI ขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืนตามแผนกลยุทธ์ CHEERS (Consumers – Human development – Efficiency – Environment – Rights of human – Stakeholders) ซึ่งเป็นแผนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของกลุ่มบริษัท Asian โดยมีการกำหนดเป้าหมายระยะยาวในแต่ละประเด็นด้าน ESG และมีการกำหนดเป้าหมายระยะสั้นในแต่ละปี เพื่อให้สามารถติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายของกลุ่มบริษัทฯ ในอันที่จะตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ภายใต้แนวคิดที่ว่า ความยั่งยืนของธุรกิจ มาจากการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ

นอกจากนี้ AAI ยังเป็นส่วนหนึ่งใน Asian Link ที่เป็นการเชื่อมโยงธุรกิจภายในกลุ่มบริษัท Asian เพื่อการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยในกระบวนการแปรรูปทูน่า เราใช้เนื้อในการผลิตทูน่า อาหารกลุ่มทูน่าพร้อมทานและอาหารสัตว์เลี้ยง และนำเศษเหลือพวก หัว หาง ก้าง ไส้ มาผลิตปลาป่น ส่งไปผลิตเป็นอาหารกุ้ง นำไปขายให้เกษตรกร และสามารถกลับไปซื้อกุ้ง เพื่อมาผลิต ผลิตภัณฑ์อาหารแช่เยือกแข็ง ทำให้สามารถรับประกันคุณภาพ และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้”


โดยการจัดระดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน

สถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่สิบเอ็ดในปีนี้

การจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนโดยสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ เทียบกับชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น ติดอันดับหลักทรัพย์ ESG100 เป็นปีที่ห้าติดต่อกัน


บริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ASIAN) ผู้ประกอบธุรกิจแปรรูปอาหารทะเลแช่เยือกแข็ง จำหน่ายและส่งออกภายใต้แบรนด์ของลูกค้า และแบรนด์ของบริษัท ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ. 2568 โดยสถาบันไทยพัฒน์


นายสุริยะ ประสาทบัณฑิตย์ (ที่สองจากขวา) ประธานกรรมการบริษัท และ นางสุรีย์ จันทร์สวัสดิ์ (ขวาสุด) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ASIAN) รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 Company ในฐานะบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ประจำปี 2568 จากนายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ (ที่สองจากซ้าย) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ สำนักงานใหญ่ บมจ. เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จ.สมุทรสาคร

นายสุริยะ ประสาทบัณฑิตย์ ประธานกรรมการบริษัท บริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ ประกาศให้ บริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ASIAN) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2568 ด้วยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (Agro & Food industry) และบริษัทได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน (พ.ศ. 2564-2568)

“กว่า 4 ทศวรรษ แห่งการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จากธุรกิจครอบครัวสู่ผู้ประกอบการธุรกิจผลิตอาหารระดับสากล ที่ใส่ใจในทุกกระบวนการผลิต บริษัทฯ ตระหนักดีว่า ความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบัน เราจึงมุ่งมั่นในการพัฒนากระบวนการผลิตและการบริหารจัดการที่สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนโดยรอบ สะท้อนถึงเจตนารมณ์ของบริษัทฯ ที่จะสร้างสมดุลระหว่างการดำเนินธุรกิจ การดูแลสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาสังคม ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว

ในปี 2567 วัตถุดิบสัตว์น้ำที่ได้จากการประมงที่กลุ่มบริษัทใช้ สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่าเป็นไปตามบันทึกข้อตกลงไม่เกี่ยวข้องกับการประมงผิดกฎหมายหรือใช้แรงงานทาส ร้อยละ 100 นอกจากนี้ บริษัทฯ และบริษัทย่อยยังได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ MSC (Marine Stewardship Council) ซึ่งเป็นมาตรฐานการรับรองอาหารทะเลจากการประมงทางธรรมชาติอย่างยั่งยืน สำหรับวัตถุดิบจากการประมงที่เกี่ยวข้อง และมีผลิตภัณฑ์กุ้งจากการทำโครงการขอการรับรองระบบมาตรฐานฟาร์ม ASC (Aquaculture Stewardship Council) ในฐานะ chain of custody เพื่อเพิ่มโอกาสในการรับจ้างผลิตให้กับผู้ค้าปลีกรายใหญ่ในระดับสากลที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม”


โดยการจัดระดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน

สถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่สิบเอ็ดในปีนี้

การจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนโดยสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ เทียบกับชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



กรุงศรีตอกย้ำความสำเร็จด้านความยั่งยืน ติดทำเนียบ ESG100 เป็นปีที่ 10


ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (ชื่อย่อหลักทรัพย์ “BAY”) ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ. 2568 โดยสถาบันไทยพัฒน์


นายเคนอิจิ ยามาโตะ (คนกลาง) กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายไพโรจน์ ชื่นครุฑ (คนขวา) ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 Company ในฐานะบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ประจำปี 2568 จากนายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ (คนซ้าย) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ สำนักงานใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ถ.พระราม 3 กรุงเทพฯ

นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “กรุงศรีได้รับการจัดอันดับใน ESG100 ประจำปี 2568 จากสถาบันไทยพัฒน์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 สะท้อนถึงการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) อย่างโดดเด่น และบทบาทของสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบในประเทศไทยที่ดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบและคำนึงถึงการเติบโตอย่างยั่งยืน เรามุ่งมั่นก้าวสู่การเป็น ธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน บนพื้นฐานการดำเนินงานด้านความยั่งยืนที่แข็งแกร่งและเครือข่ายธุรกิจที่ครอบคลุมภูมิภาคอาเซียน

นอกจากนี้ กรุงศรีได้กำหนดหมุดหมายสำคัญในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ผ่านการบริหารจัดการโอกาสและความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยกำหนดเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนจากการดำเนินงานของธนาคารให้เหลือศูนย์ภายในปี 2573 ควบคู่ไปกับการลดการปล่อยคาร์บอนจากการให้บริการทางการเงินทั้งหมดให้เหลือศูนย์ภายในปี 2593 ยิ่งไปกว่านั้นกรุงศรีได้ขยายเป้าหมายการสนับสนุนเงินให้แก่โครงการธุรกิจเพื่อสังคมและความยั่งยืนเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 250,000 ล้านบาท ภายในปี 2573 เพื่อช่วยสนับสนุนภาคธุรกิจให้สามารถปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งสนับสนุนประเทศให้เดินหน้าสู่ระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำตามเป้าหมายที่กำหนด”

ทั้งนี้ การจัดอันดับ ESG100 ของสถาบันไทยพัฒน์จะพิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน โดยในปี 2568 ได้ทำการคัดเลือกจากหลักทรัพย์จดทะเบียน จำนวน 921 บริษัท

สถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่อง

การจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนโดยสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ เทียบกับชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



กอง REIT LHSC ติดอันดับหลักทรัพย์ ESG100 เป็นปีที่ 2


ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช ช้อปปิ้ง เซ็นเตอร์ (LHSC) กองทรัสต์ที่ลงทุนในสิทธิการเช่าศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 อโศก และศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 พัทยา ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่ให้ความสำคัญในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ. 2568 โดยสถาบันไทยพัฒน์


นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ (คนขวา) กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนแลนด์ แอนด์ เฮาส์ จำกัด (LH Fund) ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช ช้อปปิ้ง เซ็นเตอร์ (LHSC) รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 Company ประจำปี 2568 ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ที่ให้ความสำคัญในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) จาก ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ (คนซ้าย) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ สำนักงานใหญ่ LH Fund อาคารคิวเฮ้าส์ ลุมพินี กรุงเทพฯ

นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนแลนด์ แอนด์ เฮาส์ จำกัด (LH Fund) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ ประกาศให้ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช ช้อปปิ้ง เซ็นเตอร์ (LHSC) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2568 ด้วยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน โดยเป็นหลักทรัพย์ที่ให้ความสำคัญในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นปีที่ 2 (พ.ศ. 2562 และ พ.ศ. 2568)

“LH Fund ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ LHSC ให้ความสำคัญในด้าน ESG โดยสะท้อนจากความรับผิดชอบของธุรกิจที่มีต่อผู้มีส่วนได้เสีย และการดำเนินงานในการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ในโครงการ อาทิ การติดตั้งสถานีชาร์จรถไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในการลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ก่อให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซเรือนกระจก การจัดทำถังขยะแยกประเภทเพื่อเป็นการลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปกำจัด ลดภาระในการจัดการขยะ และยังช่วยให้สามารถนำขยะบางประเภทกลับมารีไซเคิล หรือนำไปใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้ และลดขั้นตอนการแยกขยะของเทศบาล การเข้าร่วมกิจกรรมปิดไฟ 1 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนตระหนักถึงปัญหาภาวะโลกร้อน และการอนุรักษ์พลังงาน รวมถึงส่งเสริมการประหยัดพลังงานและน้ำของพนักงาน และผู้มาใช้บริการ

ทั้งนี้ การดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ประกอบด้วย การประกอบกิจการด้วยความเป็นธรรม โดยมีการควบคุมภายในและระเบียบปฏิบัติของบริษัทจัดการรวมถึงกำหนดให้มี Compliance Manual โดยจะระบุถึงจรรยาบรรณในการปฏิบัติงานของพนักงานโดยมีหลักความซื่อสัตย์สุจริต (Duty of Loyalty) และหลักความระมัดระวัง (Duty of Care) กฎระเบียบและวิธีปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน ระเบียบและวิธีปฏิบัติในการทำธุรกิจจัดการกองทรัสต์ การนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการกองทรัสต์ ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ การดูแลข้อมูลที่สำคัญ และการดำเนินการเกี่ยวกับข้อร้องเรียนของลูกค้าและรายงานผลต่อคณะกรรมการตรวจสอบและคณะกรรมการบริษัทอย่างสม่ำเสมอ”


ปัจจุบัน LHSC ถือครองสิทธิการเช่าศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 อโศก ซึ่งเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงและตั้งอยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ และศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 พัทยา ซึ่งเป็นศูนย์การค้าอีกแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในทําเลที่มีศักยภาพใจกลางเมืองพัทยา ใกล้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญและโรงแรมระดับนานาชาติ

โดยการจัดระดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน

สถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 11 (สิบเอ็ด) ในปีนี้

การจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนโดยสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ เทียบกับชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS และ UN PRI เป็นต้น

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]