Thaipat Institute

GRI Certified Training Partner นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2556

รู้จัก    CG   ¦   ESG   ¦   CSR   ¦   CSV   ¦   SD   ¦   SE   ¦   SB

ไทยประกันชีวิต ติดอันดับหลักทรัพย์ ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3

ตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืนที่ส่งมอบคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสีย


บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (TLI) บริษัทประกันชีวิตแห่งแรกของคนไทย ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ. 2568 โดยสถาบันไทยพัฒน์


นายเคียน ฮิน ลิม ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (TLI) รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 Company ในฐานะบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ประจำปี 2568 จากนางสาววีรญา ปรียาพันธ์ กรรมการและผู้อำนวยการประชาคมการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน สถาบันไทยพัฒน์ ณ สำนักงานใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ

นายเคียน ฮิน ลิม ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ประกาศให้ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (TLI) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2568 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต (Insurance) โดยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน

“ด้วยเจตนารมณ์ของบริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ที่ตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินธุรกิจ เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ “การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืนที่ส่งมอบคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสีย” บริษัทฯ จึงมุ่งมั่นนำพาธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการบูรณาการปัจจัย ESG อย่างครอบคลุมทั้งองค์กร ด้วยการกำกับดูแลกิจการที่ดี ภายใต้หลักธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และเป็นธรรม คำนึงถึงผลกระทบด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ผนวกกับการบริหารจัดการความเสี่ยงที่รอบด้าน เพื่อสร้างคุณค่าให้เกิดแก่องค์กรไปพร้อมกับการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ภายใต้กลยุทธ์ความยั่งยืน “TLI Sustainability Strategy” ครอบคลุม 3 มิติ ได้แก่ 1) มิติเศรษฐกิจ : ตอบโจทย์ทุกความไว้วางใจ (Trusted Partner) ด้วยการพัฒนานวัตกรรม ผลิตภัณฑ์และบริการที่เชื่อมโยง เพื่อตอบทุกความต้องการอย่างมีธรรมาภิบาลสูงสุด 2) มิติสังคม : เชื่อมประสบการณ์สู่โอกาส (Life Inclusion) เพื่อการเข้าถึงบริการและให้ความรู้ทางการเงินและการประกันชีวิตให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม และ 3) มิติสิ่งแวดล้อม : พร้อมส่งต่อโลกที่ดีกว่า (Infinite World) ด้วยการใส่ใจดูแลสิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้างอนาคตที่ดีสำหรับคนรุ่นต่อไป

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจ (Digital Transformation) รองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคดิจิทัล เพื่อก้าวสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล หรือ Data-driven Company และบรรลุเป้าหมาย Sustainable Tomorrow หรือการก้าวสู่อนาคตที่เข้มแข็งและยั่งยืนขององค์กรภายในปี 2570”


สถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 11 ในปีนี้ โดยการจัดระดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน

การจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนโดยสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ เทียบกับชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



กอง REIT LHHOTEL ติดอันดับหลักทรัพย์ ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2


ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช โฮเทล (LHHOTEL) กองทรัสต์ที่ลงทุนในสิทธิการเช่าโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ เทอร์มินอล 21, ราชดำริ, สุขุมวิท 55, พัทยา และสเปซ พัทยา ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่ให้ความสำคัญในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ. 2568 โดยสถาบันไทยพัฒน์


นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ (คนขวา) กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนแลนด์ แอนด์ เฮาส์ จำกัด (LH Fund) ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช โฮเทล (LHHOTEL) รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 Company ประจำปี 2568 ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ที่ให้ความสำคัญในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) จากดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ (คนซ้าย) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ สำนักงานใหญ่ LH Fund อาคารคิวเฮ้าส์ ลุมพินี กรุงเทพฯ

นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนแลนด์ แอนด์ เฮาส์ จำกัด (LH Fund) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ ประกาศให้ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช โฮเทล (LHHOTEL) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2568 ด้วยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นหลักทรัพย์ที่ให้ความสำคัญในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นเวลา 2 ปีต่อเนื่อง (พ.ศ. 2567-2568)

“LH Fund ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ LHHOTEL ให้ความสำคัญในด้าน ESG โดยสะท้อนจากความรับผิดชอบของธุรกิจที่มีต่อผู้มีส่วนได้เสีย และการดำเนินงานในการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ในโครงการ อาทิ การติดตั้งสถานีชาร์จรถไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในการลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ก่อให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซเรือนกระจก การใช้หลอดไฟแบบประหยัดพลังงาน (LED) ในโครงการเพื่อส่งเสริมการประหยัดพลังงานโดยใช้หลอดไฟแบบประหยัดพลังงานและหลอดไฟ LED Motion Sensor ในพื้นที่ที่คนเดินผ่านน้อย การประชาสัมพันธ์การประหยัดพลังงานและน้ำเพื่อส่งเสริมการประหยัดพลังงานและน้ำของพนักงานโครงการ และผู้มาใช้บริการ

ทั้งนี้ การดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ประกอบด้วย การประกอบกิจการด้วยความเป็นธรรม โดยมีการควบคุมภายในและระเบียบปฏิบัติของบริษัทจัดการรวมถึงกำหนดให้มี Compliance Manual โดยจะระบุถึงจรรยาบรรณในการปฏิบัติงานของพนักงานโดยมีหลักความซื่อสัตย์สุจริต (Duty of Loyalty) และหลักความระมัดระวัง (Duty of Care) กฎระเบียบและวิธีปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน ระเบียบและวิธีปฏิบัติในการทำธุรกิจจัดการกองทรัสต์ การนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการกองทรัสต์ ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ การดูแลข้อมูลที่สำคัญ และการดำเนินการเกี่ยวกับข้อร้องเรียนของลูกค้าและรายงานผลต่อคณะกรรมการตรวจสอบและคณะกรรมการบริษัทอย่างสม่ำเสมอ”


ปัจจุบัน LHHOTEL ถือเป็นกองทรัสต์กลุ่มโรงแรมที่มีขนาดสินทรัพย์รวม และมูลค่าตามราคาตลาดสูงที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ฯ

โดยการจัดระดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน

สถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่สิบเอ็ดในปีนี้

การจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนโดยสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ เทียบกับชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN และ PRI เป็นต้น

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



BCPG ติดทำเนียบบริษัทกลุ่ม ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8


บีซีพีจี ผู้ประกอบธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดระดับแนวหน้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ. 2568 โดยสถาบันไทยพัฒน์


นายรวี บุญสินสุข (ที่สามจากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ พร้อมคณะผู้บริหาร บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) (BCPG) รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 Company ในฐานะบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ประจำปี 2568 จากนายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ (ที่สามจากซ้าย) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ สำนักงานใหญ่ บีซีพีจี อาคารเอ็ม ทาวเวอร์ ถ.สุขุมวิท กรุงเทพฯ

นายรวี บุญสินสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บีซีพีจีได้รับคัดเลือกให้อยู่ในทำเนียบหลักทรัพย์ ESG100 ประจำปี 2568 ในกลุ่มทรัพยากร จากการประเมินโดย สถาบันไทยพัฒน์ ซึ่งพิจารณาจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน ความสำเร็จครั้งนี้นับเป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน (ตั้งแต่ปี 2561-2568) ที่บริษัทฯได้รับการยอมรับในฐานะองค์กรที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ตอกย้ำเจตนารมณ์ของบีซีพีจีในการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียในทุกภาคส่วน

“บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืนในทุกมิติ โดยผสานเทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำสมัยเข้ากับการดำเนินงาน เพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น และขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด เพื่อเป็นการย้ำบทบาทของบีซีพีจีในฐานะผู้นำการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) ของประเทศไทย ขณะเดียวกันเราภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการปลุกพลังสีเขียวในใจของทุกคน ภายใต้แนวคิด Energizing Our Green DNA เพื่อเป็นแรงผลักสำคัญในการสร้างสมดุลให้กับโลกใบนี้ และส่งมอบอนาคตที่สวยงามให้กับคนรุ่นต่อไป” นายรวี กล่าว

โดยการจัดระดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทฯ ควบคู่ไปพร้อมกัน

สถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 11 ในปีนี้

อนึ่ง การจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนโดยสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ เทียบกับชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



การขับเคลื่อนความยั่งยืนสู่กลยุทธ์องค์กรหนึ่งเดียว


นับจากที่เรื่องความยั่งยืนได้เข้ามามีอิทธิพลกับธุรกิจจนได้กลายเป็นกระแสหลักที่ทุก ๆ กิจการจำเป็นต้องพิจารณานำมาดำเนินการกับองค์กรตนเอง เพื่อให้ก้าวทันกับความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น และให้สอดรับกับภาวะแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป จนในปัจจุบัน กิจการในแทบทุกอุตสาหกรรมได้ลุกขึ้นมาสื่อสารถึงการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับความยั่งยืนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ดี เมื่อไปสำรวจแนวทางการขับเคลื่อนความยั่งยืนสำหรับภาคธุรกิจนั้น ก็พบว่ามีความหลากหลายในการนำมาปฏิบัติใช้ โดยขึ้นกับชุดความคิดและสำนักวิชาที่ออกแบบและถ่ายทอดความรู้ในเรื่องดังกล่าว ซึ่งมีความแตกต่างกันไปในแต่ละค่าย ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมถึงบริบทในอุตสาหกรรมที่ทำให้การประยุกต์เรื่องดังกล่าวมีรายละเอียดที่ไม่เหมือนกันด้วย

จุดตั้งต้นที่ใช่สำหรับกิจการ เป็นส่วนที่มีนัยสำคัญต่อการขับเคลื่อน เพราะหากเริ่มต้นไม่ตรงจุด ยิ่งกิจการก้าวเดินต่อไปเรื่อย ๆ องศาของเส้นทางเดินที่ควรจะเป็น จะยิ่งเบ้ห่างออกจากจุดศูนย์กลางมากยิ่งขึ้น ทำให้เสียทั้งเวลา ทรัพยากร และงบประมาณที่ใช้ดำเนินการ รวมทั้งต้องกลับมาแก้ไขตั้งต้นกันใหม่ หรือต้องปรับรื้อสิ่งที่ได้ทำไปก่อนหน้านี้

โดยที่ผ่านมา ความเข้าใจแรกของกิจการในหลายแห่งที่มีต่อเรื่องดังกล่าว คือ การขับเคลื่อนความยั่งยืน องค์กรต้องจัดทำกลยุทธ์ความยั่งยืนขึ้นมาใช้ในการขับเคลื่อน ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น

ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ความยั่งยืน เป็นสถานะของกิจการ ที่ทุกองค์กรคาดหวังให้เกิดขึ้น หรือเป็นผลลัพธ์ที่อยากให้เกิดขึ้น แต่ในความเป็นจริง กิจการไม่สามารถบังคับบัญชาให้เกิดขึ้นได้เอง ทำได้แต่เพียงสร้างเหตุปัจจัย หรือเงื่อนไขที่เอื้อให้สภาพความยั่งยืนเกิดขึ้น โดยปัจจัยสำคัญซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่าส่งผลโดยตรงต่อความยั่งยืน ได้แก่ ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG)

การที่องค์กรหนึ่ง ๆ ออกมาสื่อสารว่า ได้จัดทำกลยุทธ์ความยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าว แท้ที่จริงคือ การดำเนินการกับปัจจัยด้าน ESG (เป็นวิธีการ หรือ Mean) เพื่อให้ได้มาซึ่งความยั่งยืน (เป็นปลายทาง หรือ End) เนื่องเพราะกิจการไม่สามารถกำหนดหรือกำกับให้ความยั่งยืนเกิดขึ้นได้เอง โดยปราศจากการใส่เหตุปัจจัยที่เหมาะสม

นั่นหมายความว่า แทนที่กิจการจะจัดทำกลยุทธ์ความยั่งยืน ขึ้นมาเพื่อดำเนินการ กิจการควรจะต้องมีการจัดทำกลยุทธ์องค์กรที่ได้ผนวกการพิจารณาปัจจัยด้าน ESG เข้าไว้ในกลยุทธ์อย่างรอบด้าน สอดคล้องกับบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืน แนวทางนี้ต่างหากที่จะทำให้สถานะความยั่งยืนของกิจการเกิดขึ้นได้อย่างตรงจุด

ทั้งนี้ เพื่อให้กิจการมีกลยุทธ์องค์กรที่เป็นหนึ่งเดียว (Single Strategy) ไม่ก่อให้เกิดภาวะกลยุทธ์คู่ขนาน โดยมีทั้งกลยุทธ์ธุรกิจและกลยุทธ์ความยั่งยืนที่สร้างความสับสนและซ้ำซ้อนให้แก่พนักงานรวมถึงผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง

แม้ในระยะเริ่มต้น กิจการจะมีความริเริ่มด้านความยั่งยืนในลักษณะที่เป็นโครงการ/กิจกรรม แยกต่างหากจากกระบวนงานทางธุรกิจปกติ มิได้มีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน แต่เมื่อเริ่มเข้าใจว่าเรื่องความยั่งยืนเป็นประเด็นสาระสำคัญที่ต้องดำเนินการ กิจการจะมีการตั้งคณะกรรมการชุดย่อยเพื่อกำหนดกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืน และจะมีตัวชี้วัดใช้สำหรับประเมินผลงาน ดำเนินไปจนกระทั่งมาถึงจุดที่เรื่องความยั่งยืนจะถูกหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์องค์กร เป็นกลยุทธ์ชุดเดียวกันกับที่ใช้ขับเคลื่อนองค์กรโดยรวม

สำหรับกิจการที่เข้าใจหรือเดินมาถึงจุดนี้ จะพบว่าไม่มีความจำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการความยั่งยืน หรือคณะทำงานด้าน ESG เพิ่มเติมเป็นการเฉพาะสำหรับดูแลการขับเคลื่อน เนื่องจากปัจจัยด้าน ESG ได้ถูกนำมาพิจารณาหลอมรวมอยู่ในกลยุทธ์องค์กรซึ่งสามารถถ่ายทอดลงสู่การปฏิบัติผ่านกลไกที่มีอยู่เดิมได้ตามปกติ

โดยหนึ่งในวิธีการสำหรับกิจการที่คุ้นเคยกับการจัดทำแผนที่กลยุทธ์ (Strategy Map) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือบริหารจัดการ คือ การปรับแต่งแผนที่กลยุทธ์ด้วยการผนวกปัจจัยด้าน ESG และขยายมุมมองให้ครอบคลุมเรื่องความยั่งยืน ด้วยการเชื่อมโยงวัตถุประสงค์ทางธุรกิจให้เข้ากับวัตถุประสงค์ด้านความยั่งยืนได้ภายใต้แผนที่กลยุทธ์หนึ่งเดียว

ทั้งนี้ การจัดทำแผนที่กลยุทธ์ยังช่วยให้กิจการเห็นภาพรวมของปัจจัยด้าน ESG ที่นำไปสู่ความยั่งยืน และเห็นการปรับแนวการดำเนินงานและจุดเน้นขององค์กรให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างเป็นเอกภาพ

สำหรับกิจการที่สนใจจัดทำแผนที่กลยุทธ์องค์กรหนึ่งเดียว สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะหน่วยงานที่มุ่งเน้นงานส่งเสริมความยั่งยืนของกิจการร่วมกับภาคธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง ได้ทำการเผยแพร่รายละเอียดไว้ที่เว็บไซต์ สถาบันไทยพัฒน์


[Original Link]



ผลิตภัณฑ์ตราเพชร รั้งทำเนียบ ESG100 เป็นปีที่ 8


บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) (DRT) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ กระเบื้องหลังคา ไม้สังเคราะห์ บอร์ด ไฟเบอร์ซีเมนต์ อิฐมวลเบา และบริการติดตั้งระบบหลังคาครบวงจร ภายใต้เครื่องหมายการค้า "ตราเพชร" ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียนในปี พ.ศ. 2568 โดยสถาบันไทยพัฒน์


นายสาธิต สุดบรรทัด (คนกลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมคณะผู้บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) (DRT) รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 Company ในฐานะบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ประจำปี 2568 จากนายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ (ที่สองจากซ้าย) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ อาคารสำนักงานพหลโยธินเพลส ถนนพหลโยธิน กรุงเทพฯ

นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ ประกาศให้ บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) (DRT) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2568 ด้วยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (Property & Construction) และบริษัทฯ ได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นเวลา 8 ปี (พ.ศ. 2558 และ พ.ศ. 2562-2568)

“บริษัทฯ มุ่งมั่นปรับปรุงพัฒนากระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยคํานึงถึงสังคม ชุมชน ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ผ่านการลงทุนด้านนวัตกรรม อาทิ นวัตกรรมกระเบื้องหลังคาออกแบบเป็นพิเศษพร้อมอุปกรณ์ตัวยึดติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และกระเบื้องร้อยสายไฟโซลาร์เซลล์รองรับการติดตั้งกระเบื้องหลังคาใหม่ และงานปรับปรุงซ่อมแซม ควบคู่กับการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ตอบโจทย์การใช้พลังงานสะอาดและการก่อสร้างที่สมัยใหม่

ในปี 2568 บริษัทฯ ยังได้รับเครื่องหมายรับรองฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์ (CFP) ทั้งกระเบื้องหลังคาคอนกรีต กระเบื้องหลังคาไฟเบอร์ซีเมนต์ อิฐมวลเบา ไดมอนด์บอร์ด ไม้เชิงชายพลัส และโครงหลังคาสำเร็จรูป ซึ่งแสดงถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ และช่วยส่งเสริมให้ผู้บริโภค มีส่วนร่วมในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และถือเป็นอีกก้าวสำคัญของตราเพชรในการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ เพื่อสร้างสรรค์สังคมที่ยั่งยืน”
นายสาธิต กล่าว

โดยการจัดระดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน

สถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่สิบเอ็ดในปีนี้

การจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนโดยสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ เทียบกับชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



ฟาร์มเฮ้าส์ ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในบริษัท 10 ปี ทำเนียบ ESG100


บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) (PB) ผู้ผลิตและจำหน่ายขนมปัง และเบเกอรี่ ภายใต้แบรนด์ ฟาร์มเฮ้าส์ ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ.2568 โดยสถาบันไทยพัฒน์


นายอภิชาติ ธรรมมโนมัย (ที่สามจากขวา) ประธานกรรมการบริษัทและประธานกรรมการบริหาร และนายอภิเศรษฐ ธรรมมโนมัย (ที่สองจากขวา) กรรมการผู้อำนวยการ พร้อมคณะกรรมการ บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) (PB) รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 Company ในฐานะบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ประจำปี 2568 จากนายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ (ที่สามจากซ้าย) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ สำนักงานใหญ่ บมจ.เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ ถ.รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ

นายอภิชาติ ธรรมมโนมัย ประธานกรรมการบริษัทและประธานกรรมการบริหาร บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2568 ด้วยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และบริษัทได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นปีที่ 10 ติดต่อกัน (พ.ศ.2559-2568)

“บริษัทฯ มุ่งมั่นประกอบธุรกิจอย่างยั่งยืน ด้วยการส่งมอบคุณค่าเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ผ่านการดำเนินกลยุทธ์องค์กรสู่ความยั่งยืน ภายใต้ความตระหนักและการให้ความสำคัญต่อการพัฒนาประสิทธิภาพทางธุรกิจ ควบคู่กับการคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และยึดหลักธรรมาภิบาล (ESG) อันประกอบด้วย 4 พันธกิจความยั่งยืน คือ สร้างการเติบโตธุรกิจอย่างมั่นคง ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืน

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ทุ่มงบลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ เพื่อยกระดับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยลงทุนในเครื่องจักรไลน์ผลิตใหม่ B6000 ที่มีเทคโนโลยีทันสมัย อัตโนมัติเต็มระบบ ช่วยเพิ่มกำลังการผลิต มีความรวดเร็ว แม่นยำ ในทุกขั้นตอน สามารถควบคุมคุณภาพการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และขยายการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยอาหารระดับสากล FSSC22000 ครอบคลุมทุกโรงงาน อีกทั้งยังลงทุนในพลังงานสะอาด จากการติดตั้งระบบ Solar Rooftop ที่โรงงานผลิตบางชัน และ Solar Air ที่ศูนย์กระจายสินค้า ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนจากการใช้พลังงานไฟฟ้าไปใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์

ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทฯ ได้ลงทุนซื้อรถขนส่งสินค้า EV 100 คัน ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าแทนการใช้เครื่องยนต์ที่มีการเผาไหม้แบบสันดาบ ทำให้ไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยลดต้นทุนด้านพลังงาน แต่ในบางพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมในการใช้รถ EV บริษัทฯ ได้นำรถมาตรฐาน Euro5 มาใช้งาน ซึ่งเป็นรถที่ได้รับมาตรฐานการควบคุมการปล่อยมลพิษไอเสีย มีการเผาผลาญเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีการพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าให้มีความสวยงาม ทันสมัย เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการส่งมอบสินค้าที่สดใหม่ และปลอดภัยต่อผู้บริโภคอย่างสูงสุด”


โดยการจัดระดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน

สถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่สิบเอ็ดในปีนี้

การจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนโดยสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ เทียบกับชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ ติดอันดับหลักทรัพย์ ESG100 เป็นปีที่หก


บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (TPIPP) ผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะชั้นนำ และเป็นผู้ให้บริการกำจัดขยะ มีโรงกำจัดขยะชุมชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยโรงกำจัดขยะทั้งหมดของบริษัทฯ ตั้งอยู่ในพื้นที่แห่งเดียวกันที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance : ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ.2568 โดยสถาบันไทยพัฒน์


นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ (ที่ 5 จากขวา) ประธานกรรมการ พร้อมคณะผู้บริหารบริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (TPIPP) รับมอบประกาศนียบัตร ESG 100 Company ประจำปี 2568 ในฐานะบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) จากนายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ (ที่ 5 จากซ้าย) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ สำนักงานใหญ่ ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ สาทร กรุงเทพฯ

นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานกรรมการ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ประกาศให้ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (TPIPP) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2568 ด้วยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มทรัพยากร และบริษัทได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นปีที่ 6

“บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน โดยตอบสนองความต้องการพลังงานสะอาด ด้วยการเปลี่ยนเป็นโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ 100% ภายในปี 2568 บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะและพลังงานแสงอาทิตย์รวม 534 เมกะวัตต์ โดยสิ้นไตรมาสแรกของปี 2568 บริษัทฯ สามารถนำขยะทุกประเภทรวมจำนวน 781,686 ตัน มาใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าของบริษัทฯ และขายขยะที่คัดแยกเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงให้แก่โรงปูนซิเมนต์ของบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน)

บริษัทฯ ได้ตระหนักถึงบทบาทสำคัญของภาคการผลิตไฟฟ้าในการร่วมแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และจำกัดอุณหภูมิของโลกมิให้สูงเกิน 1.5 °C ตามความตกลงปารีส บริษัทฯ จึงได้กำหนดให้การบริหารจัดการด้านภูมิอากาศ เป็นประเด็นความยั่งยืนที่เป็นสาระสำคัญขององค์กร และได้ประกาศเป้าหมายระยะยาวในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2580 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายของประเทศไทย 13 ปี”


โดยการจัดระดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน

สถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 11 ในปีนี้

การจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนโดยสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ เทียบกับชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี ติดทำเนียบหุ้น ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่สาม


บริษัท ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (SICT) ผู้ออกแบบและพัฒนาไมโครชิปสำหรับอุปกรณ์ระบบ RFID และจำหน่ายให้แก่ลูกค้าทั่วโลก ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ. 2568 โดยสถาบันไทยพัฒน์


นายบดินทร์ เกษมเศรษฐ์ (ที่สองจากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (SICT) พร้อมคณะ รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 ปี 2568 ในฐานะบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) จากนายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ (ที่สองจากซ้าย) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ สำนักงานใหญ่ บริษัท ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) เขตจตุจักร กรุงเทพฯ

นายบดินทร์ เกษมเศรษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ได้ประกาศให้บริษัท ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2568 จากการคัดเลือก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน และเป็นหนึ่งเดียวใน 24 หลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาด mai กลุ่มเทคโนโลยี ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG โดยบริษัทได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน (พ.ศ. 2566-2568)

“บริษัทมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ ในฐานะผู้ออกแบบไมโครชิปในส่วนต้นน้ำที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูงมาก โดยมีภารกิจที่สำคัญในการผลักดันโครงการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีมากกว่า 30 โครงการ โดยมีการพิจารณาปัจจัยที่สำคัญด้านความยั่งยืนทุกมิติในทุกขั้นตอนของการพัฒนาโครงการ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และสร้างประโยชน์ให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน

อีกทั้ง บริษัทให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดในเรื่องการมีธรรมาภิบาลที่ดี อันเป็นรากฐานสำคัญในการดำเนินงานและการจัดการองค์กรให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในระยะยาว”


โดยการจัดระดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน

สถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่สิบเอ็ดในปีนี้

การจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนโดยสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ เทียบกับชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ ติดทำเนียบบริษัทกลุ่ม ESG100 เป็นปีที่สี่


บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) (SITHAI) ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกอุตสาหกรรม บรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือนรายใหญ่ ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ.2568 โดยสถาบันไทยพัฒน์


นายไชยวัฒน์ กุลภัทรวาณิชย์ (คนขวา) กรรมการบริหาร บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) (SITHAI) รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 Company ในฐานะบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ประจำปี 2568 จากนายวรณัฐ เพียรธรรม (คนซ้าย) ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ ณ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) อาคารสำนักงานใหญ่ ถนนสุขสวัสดิ์ กรุงเทพฯ

นายไชยวัฒน์ กุลภัทรวาณิชย์ กรรมการบริหาร บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ประกาศให้ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) (SITHAI) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2568 โดยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มบรรจุภัณฑ์ (Packaging) และบริษัทฯ ได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นปีที่ 4

“ในปี พ.ศ. 2568 กลุ่มบริษัทศรีไทยฯ ได้ดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กรอย่างต่อเนื่องให้มีความแข็งแกร่งและยืดหยุ่น เพื่อรองรับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ โดยมุ่งเสริมสร้างทีมงานคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ ศักยภาพ มุ่งมั่นและพร้อมที่จะร่วมขับเคลื่อนองค์กรและยกระดับการดำเนินธุรกิจในทุกมิติภายใต้หลักธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า คู่ค้า พันธมิตรธุรกิจ ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มและสร้างคุณค่าและความสำเร็จร่วมกันตลอดไป

บริษัทฯ ได้นำแนวทาง 3 Saves : Save Material, Save Energy, Save the World และแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน มาเป็นหัวใจหลักของการดำเนินงานมาโดยตลอด โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสนับสนุนการใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิล (PCR) ในการผลิต เพื่อตอบสนองต่อตลาดที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งจากภายในด้วยการบริหารการเงินอย่างรอบคอบและเข้มงวดเพื่อรักษาสภาพคล่องทางธุรกิจและกระแสเงินสด พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งในด้านเทคโนโลยีในการผลิตและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่ม โดยกลุ่มบริษัทศรีไทยฯ ยังคงเดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาโรงงานและขยายการลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม เพื่อรองรับการเติบโตและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันบนเวทีการค้าโลก”


โดยการจัดระดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน

สถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่สิบเอ็ดในปีนี้

การจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนโดยสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ เทียบกับชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



ทีพีไอ โพลีน ติดอันดับหลักทรัพย์ ESG100 เป็นปีที่สี่ติดต่อกัน


บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) (TPIPL) ผู้ผลิตและจำหน่ายปูนซีเมนต์ คอนกรีตผสมเสร็จ และ Specialty Polymer ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance : ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ.2568 โดยสถาบันไทยพัฒน์


นายขันธ์ชัย วิจักขณะ (ที่ 5 จากซ้าย) ประธานกรรมการ และนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ (ที่ 5 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมคณะผู้บริหารบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) (TPIPL) รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 Company ประจำปี 2568 ในฐานะบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) จากนายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ (ที่ 6 จากซ้าย) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ สำนักงานใหญ่ ทีพีไอ ทาวเวอร์ สาทร กรุงเทพฯ

นายขันธ์ชัย วิจักขณะ ประธานกรรมการ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ประกาศให้ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) (TPIPL) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2568 ด้วยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และบริษัทได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 (2565-2568)

“บริษัทฯ ได้กำหนดนโยบายด้านความยั่งยืนให้สอดคล้องกับทิศทางและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม ภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี บริษัทฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ปรับปรุงเทคโนโลยีให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมาผลิตปูนซีเมนต์ และนำขยะมาเป็นเชื้อเพลิงแทนถ่านหินในกระบวนการผลิตปูนซิเมนต์ ใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน แทนการใช้เครื่องยนต์พลังงานฟอสซิล นอกจากนี้ ยังมีการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างปูนซิเมนต์ไฮดรอลิกเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก เป็นต้น”

โดยการจัดระดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน

สถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 11 ในปีนี้

การจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนโดยสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ เทียบกับชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



ศิครินทร์ ติดทำเนียบหลักทรัพย์กลุ่ม ESG100 เป็นปีที่ 5


บริษัท ศิครินทร์ จำกัด (มหาชน) (SKR) ผู้ประกอบธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ.2568 โดยสถาบันไทยพัฒน์


นายเสนีย์ จิตตเกษม (คนกลาง) ประธานกรรมการ นายแพทย์อติรัชต์ จรูญศรี (ที่สามจากขวา) กรรมการผู้จัดการใหญ่ นายสุริยันต์ โคจรโรจน์ (ที่สองจากซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่ด้านปฏิบัติการ พร้อมคณะผู้บริหาร บริษัท ศิครินทร์ จำกัด (มหาชน) (SKR) รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 Company ในฐานะบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ประจำปี 2568 จากนายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ (ที่สามจากซ้าย) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ โรงพยาบาลศิครินทร์ กรุงเทพฯ

นายเสนีย์ จิตตเกษม ประธานกรรมการ บริษัท ศิครินทร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ประกาศให้ บริษัท ศิครินทร์ จำกัด (มหาชน) (SKR) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2568 ด้วยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มบริการ/การแพทย์ และบริษัทได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นเวลา 5 ปีต่อเนื่อง (พ.ศ.2564-2568)

“บริษัทฯ มุ่งเน้นดำเนินงานและพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงประเด็น ESG และได้ริเริ่มโครงการพัฒนาสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินที่มีมาตรฐานสากล เพื่อตอบสนองความต้องการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งได้เปิดตัวบริการใหม่ ศิครินทร์เฉพาะทาง 24 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเดินหน้าพัฒนาสถาบันการแพทย์เฉพาะทาง เช่น สถาบันโรคหัวใจ สถาบันสุขภาพเฉพาะทางสตรี และสถาบันทางเดินอาหารและตับ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมต่อการเพิ่มของประชากรสูงอายุ และโรคอุบัติใหม่ต่าง ๆ

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญต่อการปกป้อง ดูแล และรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน พร้อมกับการให้บริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน โดยได้ดำเนินโครงการประหยัดพลังงานในโรงพยาบาล เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โครงการพัฒนาระบบจัดการขยะทางการแพทย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และโครงการตรวจสุขภาพฟรีสำหรับชุมชนรอบโรงพยาบาล รวมทั้งร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่นในการให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกล เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว”


โดยการจัดระดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน

สถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 11 ในปีนี้

การจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนโดยสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ เทียบกับชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



แนวคิดการใช้มาตรการ Rebate ตอบโต้ภาษีการค้าสหรัฐฯ


จากข้อมูล (เมื่อ 7 ก.ค.) ที่ประเทศไทยได้รับแจ้งจากสหรัฐอเมริกาว่า จะเริ่มคิดภาษีการค้าในอัตรา 36% ในวันที่ 1 สิงหาคม เป็นต้นไป ซึ่งจะมีผลให้การส่งออกสินค้าของไทยได้รับผลกระทบจากยอดที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ซึ่งมีอยู่ราว 18% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด โดย ธปท. คาดว่าการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 จะหดตัว -4% และในปี 2569 ทั้งปี คาดว่าจะหดตัว -2%

ซึ่งนับเป็นโจทย์ที่ท้าทายต่อรัฐบาลไทย ว่าจะมีมาตรการในการรักษายอดส่งออกสินค้าของไทยไปยังสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าราว 6.33 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ไว้ให้มากที่สุดได้อย่างไร จากที่รัฐบาลทรัมป์ ต้องการลดการขาดดุลการค้า และกดดันให้ไทยเปิดตลาดเพื่อซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น โดยใช้เครื่องมือภาษีการค้าเป็นเครื่องต่อรอง และมาจบลงที่อัตรา 36%


อันที่จริง แนวทางแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ก่อนที่จะมีการใช้มาตรการภาษีการค้าในปัจจุบัน ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 2003 วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้เคยเสนอแนวคิดเรื่อง “Import Certificate” เพื่อใช้แก้ปัญหาการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ที่เขาเริ่มมีความกังวลย้อนกลับไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1987 โดยแนวคิดดังกล่าวเสนอให้มีการออกใบรับรองให้แก่ผู้ส่งออกสหรัฐฯ ด้วยยอดสินค้าที่ส่งออกไปยังต่างประเทศ และผู้ส่งออกสามารถขายใบรับรองให้แก่ใครก็ตามที่ต้องการนำเข้าสินค้าเข้าสหรัฐฯ โดยสามารถนำเข้าสินค้าได้เท่ากับมูลค่าที่ระบุไว้ในใบรับรอง

เช่น บริษัท A ส่งออกสินค้ามูลค่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปต่างประเทศ บริษัท A จะได้รับใบรับรองที่ระบุมูลค่าไว้ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับยอดที่ส่งออก และบริษัท A สามารถขายใบรับรองให้บริษัทใดก็ได้ ที่ต้องการส่งสินค้าจากประเทศอื่นเข้ามาขายยังสหรัฐฯ ในมูลค่าที่เท่ากัน ผลลัพธ์ คือ เกิดสมดุลการค้า (ระหว่างมูลค่าส่งออกและนำเข้า)

แนวคิดของบัฟเฟตต์ ได้เคยถูกผลักดันให้เป็นกฎหมายเมื่อปี ค.ศ. 2006 แต่ก็ไม่ได้ถูกประกาศใช้ ซึ่งน่าจะมาจากข้อจำกัดที่เมื่อปริมาณการนำเข้าถูกกำหนดด้วยยอดการส่งออก จะส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีฐานจากการบริโภค (หากแนวคิดนี้ถูกนำมาใช้ จีดีพีของสหรัฐฯ คงไม่โตอย่างที่เห็นในปัจจุบัน) และเมื่อปริมาณการนำเข้าถูกอั้นจนต่ำกว่าความต้องการที่แท้จริงมาก ราคาสินค้านำเข้าจะพุ่งสูงขึ้นเกินกว่าความเป็นจริง

ตัวเลขจริงในปี ค.ศ. 2024 สหรัฐฯ มียอดส่งออกสินค้าทั้งปีอยู่ที่ 2.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่มูลค่านำเข้าสินค้าทั้งปีมีอยู่ถึง 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ขาดดุลอยู่ราว 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ถ้ารวมยอดบริการที่สหรัฐฯ เกินดุลอยู่ ตัวเลขขาดดุลสินค้าและบริการจะลดลงเหลือ 0.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ)

นโยบายการค้าภายใต้การบริหารของรัฐบาลทรัมป์ จึงได้นำภาษีการค้ามาใช้กับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อเป็นเครื่องมือต่อรองในการลดยอดขาดดุล โดยบีบให้ประเทศต่าง ๆ ลดภาษีและยกเลิกมาตรการกีดกัน เพื่อเปิดตลาดให้สหรัฐฯ ส่งออกสินค้าได้มากขึ้น (ไม่นับรวมเหตุผลทางการเมืองที่ต้องการกีดกันจีนและเลือกปฏิบัติกับประเทศที่ต่อต้าน)

ระหว่างนี้จนถึงวันที่ 1 สิงหาคม หากเรายังไม่สามารถเจรจาแลกเปลี่ยนการเปิดตลาดเพื่อรับสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่ม จนเป็นผลให้มีการปรับอัตราภาษีการค้าลดลง เราจำเป็นต้องหามาตรการอื่นเพื่อรับมือกับอัตราภาษีที่ 36% โดยปริยาย

โดยก่อนที่จะออกมาตรการเชิงรับในทางที่เป็นการชดเชยหรือเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ เราอาจจะออกแบบมาตรการเชิงรุกในทางที่เป็นการตอบโต้ภาษีการค้า โดยแนวทางหนึ่งที่เป็นไปได้ คือ การทำให้ภาษีการค้าเป็นกลาง (neutralize tariff) หรือไม่ส่งผลต่อต้นทุนการนำเข้าสินค้าจากไทยไปยังตลาดสหรัฐฯ ด้วยการให้ “Import Rebate” หรือวงเงินส่วนลดในจำนวนเท่ากับภาษีการค้าที่ผู้นำเข้าได้จ่ายไป (เป็นการใช้วงเงิน rebate มา offset กับยอด tariff ทำให้สินค้าที่ส่งไปขายในสหรัฐฯ เสมือนมีต้นทุนเท่าเดิม) และผู้นำเข้าในสหรัฐฯ สามารถใช้วงเงินดังกล่าวในการซื้อสินค้าจากไทยต่อในครั้งถัดไป

ด้วยกลไกนี้ ยังเปิดโอกาสให้เราสามารถกำหนดให้มีการใช้วงเงิน Rebate กับรายการสินค้าหรืออุตสาหกรรมเป้าหมายที่อยากส่งเสริมการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ได้ด้วย

และหากมีผู้นำเข้าในสหรัฐฯ รายใด ไม่ได้ใช้วงเงิน Rebate เราก็ไม่ต้องใช้เงินอุดหนุนเพื่อชดเชย Tariff สำหรับผู้นำเข้ารายนั้น นั่นอาจแสดงว่า แม้ต้นทุนสินค้าจะแพงขึ้นจาก Tariff เราก็ยังส่งออกสินค้านั้น ๆ ไปยังตลาดสหรัฐฯ ได้อยู่

จากที่รัฐบาลเปิดเผยว่า งบประมาณรายการกระตุ้นเศรษฐกิจยังมีเหลืออยู่อีกประมาณ 4.7 หมื่นล้านบาท รวมกับงบกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนที่อนุมัติไปเพื่อลดผลกระทบภาคการส่งออก เพิ่มผลิตภาพ และดิจิทัลวงเงินรวม 11,122 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลมีงบประมาณที่ใช้ในการลดผลกระทบจากการเก็บภาษีเพิ่มของสหรัฐ รวมทั้งสิ้น 58,122 ล้านบาท

งบประมาณก้อนนี้ สามารถใช้เป็นวงเงินตั้งต้น สำหรับการ Rebate และติดตามว่ามีผลสัมฤทธิ์มากน้อยเพียงใด เพื่อจะได้นำมาประเมินและตัดสินใจว่าจะใช้มาตรการเชิงรับที่เป็นการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบในท้ายที่สุดหรือไม่ต่อไป


[Original Link]



บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) ติดทำเนียบหุ้น ESG100 เป็นปีที่แปดติดต่อกัน


บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) (BCH) ผู้ให้บริการโรงพยาบาลเอกชน ภายใต้ชื่อ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล และโรงพยาบาลการุญเวชได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียนประจำปี 2568 โดยสถาบันไทยพัฒน์


ศ.ดร.นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ (ที่สี่จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร คุณพรสุดา หาญพาณิชย์ (ที่สามจากซ้าย) กรรมการด้านความยั่งยืน กำกับดูแลกิจการ และบริหารความเสี่ยง และรองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการเงิน คุณวิมลมาลย์ กฤษณะกลิน (ที่สองจากซ้าย) กรรมการด้านความยั่งยืน กำกับดูแลกิจการ และบริหารความเสี่ยง และรองผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและนักลงทุนสัมพันธ์ พร้อมด้วยทีมผู้บริหาร บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) (BCH) รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 Company ในฐานะบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ประจำปี 2568 จากนายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ (ที่สี่จากขวา) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ สำนักงานใหญ่ บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน)

ศ.ดร.นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ประกาศให้ บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) (BCH) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2568 ด้วยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social, Governance, ESG) ในกลุ่มบริการ และบริษัทได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน (พ.ศ. 2561-2568) โดยการจัดระดับของสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก ซึ่งอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ ในหมวดของการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัท โดยอ้างอิงจากตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI

ซึ่งการเข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 สะท้อนถึงการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่ตระหนักถึงประเด็นด้านความยั่งยืนอยู่เสมอ โดยบริษัทฯ มุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรทางการแพทย์ การดูแลสุขภาพของประชาชนทุกระดับ การมีส่วนร่วมของพนักงานและความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในห่วงโซ่อุปทาน เพื่อสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ผ่านการให้บริการโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด 15 แห่ง รวมทั้งโพลีคลินิก 2 แห่ง และคลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรมรังสีรักษา เกษมราษฎร์อารี 1 แห่ง

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



CKPower ติดทำเนียบหุ้น ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4


บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower (ชื่อย่อหลักทรัพย์: CKP) หนึ่งในผู้นำในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคและมีคาร์บอนฟุตพรินต์ที่ต่ำที่สุดรายหนึ่ง ได้รับการคัดเลือกจากสถาบันไทยพัฒน์ให้เป็น 1 ใน 100 บริษัทที่อยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ประจำปี 2568 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 (พ.ศ. 2565-2568) โดยคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้มีส่วนได้เสีย โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) อย่างเป็นรูปธรรมในทุกห่วงโซ่อุปทานทางธุรกิจ


นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ (คนกลาง) กรรมการผู้จัดการ และทีมผู้บริหาร บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 Company ในฐานะบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ประจำปี 2568 จาก ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ (ที่สองจากซ้าย) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ อาคารวิริยะถาวร ถ.สุทธิสารวินิจฉัย กรุงเทพฯ

นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า CKPower วางแนวทางการดำเนินธุรกิจให้สอดรับต่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) ตามบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยดำเนินการผ่านกลุยทธ์ "C-K-P" ซึ่งประกอบไปด้วย C – ไฟฟ้าสะอาด (Clean Electricity) มุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั้งหมดภายในปี 2586 และเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตติดตั้งไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน มากกว่า 95% ภายในปีเดียวกัน รวมถึงเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593 , K – เพื่อนบ้านที่ดี (Kind Neighbor) สนับสนุนการเคารพสิทธิมนุษยชนตลอดห่วงโซ่คุณค่า พร้อมส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชนและสังคมด้วยพลังงานสะอาด และโครงการส่งเสริมอาชีพสร้างผลิตภัณฑ์ในชุมชน และ P – พันธมิตรที่ยั่งยืน (Partnership for Life) ขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่าน การขยายฐานลูกค้ารายใหม่และมุ่งสร้างการขยายธุรกิจเกี่ยวเนื่องในภูมิภาคเอเชีย ควบคู่กับ การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล มาเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

"การได้รับคัดเลือกจากการประเมินของสถาบันไทยพัฒน์ให้ CKPower เป็นหนึ่งในหุ้น ESG100 ประจำปี 2568 แสดงถึงความมั่นคงของพื้นฐานธุรกิจที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก ไม่วาจะเป็นผลประกอบการที่มีกำไรต่อเนื่องสองปีล่าสุด ความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจและมีการกระจายการถือหุ้นรายย่อยตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงพลังจาก DNA ความยั่งยืนของบุคลากรทุกคนผ่านการลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งเกิดขึ้นในทุกกระบวนการขององค์กร ครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม บรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ ขยายความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนอย่างเป็นรูปธรรม และบรรลุเป้าหมายในการสร้างผลกระทบเชิงบวกในทุกมิติ

CKPower พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ โดยในปี 2567 โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในเครือของกลุ่มบริษัท สามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนส่งให้ประเทศไทยได้กว่า 8.8 ล้านเมกะวัตต์ชั่วโมง (MWh) หรือคิดเป็นร้อยละ 16 ของไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ใช้ในประเทศ และในปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 4.4 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ทั้งนี้ CKPower มุ่งส่งเสริมให้บุคลากรพัฒนานวัตกรรมเพื่อลดการใช้พลังงาน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593"
นายธนวัฒน์ กล่าวเสริม

ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ กล่าวว่า การที่บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ประจำปี 2568 และเป็น 1 ใน 8 บริษัทจากกลุ่มธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค ซึ่งคัดเลือกจากกลุ่มทรัพยากรทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 72 หลักทรัพย์ สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินงานด้าน ESG ที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่องของบริษัท ผ่านผลลัพธ์เชิงประจักษ์จากกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนที่มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ รายชื่อ ESG100 ถือเป็นชุดข้อมูลสำคัญสำหรับนักลงทุนในการศึกษาก่อนการลงทุนกับบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยกระบวนการประเมินจะพิจารณาประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่ส่งผลต่อศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรม รวมถึงแนวทางที่บริษัทบริหารจัดการโอกาสและความเสี่ยงจากประเด็นด้าน ESG ตลอดจนผลกระทบที่มีต่อผลประกอบการขององค์กร เพื่อสะท้อนถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว

สถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่สิบเอ็ดในปีนี้

การจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนโดยสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ เทียบกับชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



ETC ติดอันดับหลักทรัพย์ ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5


บริษัท เอิร์ธ เท็ค เอนไวรอนเมนท์ จำกัด (มหาชน) (ETC) ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ.2568 โดยสถาบันไทยพัฒน์


นายศุภวัฒน์ คุณวรวินิจ (คนขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอิร์ธ เท็ค เอนไวรอนเมนท์ จำกัด (มหาชน) (ETC) รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 Company ในฐานะบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ประจำปี 2568 จากนายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ (คนซ้าย) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ สำนักงาน เอิร์ธ เท็ค เอนไวรอนเมนท์ กรุงเทพฯ

นายศุภวัฒน์ คุณวรวินิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอิร์ธ เท็ค เอนไวรอนเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ประกาศให้ บริษัท เอิร์ธ เท็ค เอนไวรอนเมนท์ จำกัด (มหาชน) (ETC) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2568 ด้วยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค และบริษัทได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5

"บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นองค์กรชั้นนำในอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน คุณภาพมาตรฐานสากล ปลอดภัยต่อชุมชน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยผลตอบแทนที่ดี เป็นธรรมแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและปรับปรุงการดำเนินงานในด้านประสิทธิภาพและนวัตกรรม เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายของโลกในปัจจุบัน และตั้งเป้าที่จะรักษาการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต พร้อมเดินหน้าเป็นผู้นำด้านโรงไฟฟ้าขยะแบบครบวงจร คือ มีโรงไฟฟ้าพลังงานขยะอุตสาหกรรม 3 แห่ง คือ ที่จังหวัดสระบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดพิจิตร รวมกำลังการผลิต 20.4 เมกะวัตต์"


โดยการจัดระดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน

สถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่สิบเอ็ดในปีนี้

การจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนโดยสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ เทียบกับชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



KCG ติดอันดับหลักทรัพย์ ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2


บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (KCG) ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์อาหารตะวันตกเพื่อโมเดิร์นไลฟ์สไตล์ สัญชาติไทย ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ.2568โดยสถาบันไทยพัฒน์


นายตง ธีระนุสรณ์กิจ ประธานคณะกรรมการบริหาร (ตรงกลาง) นายดำรงชัย วิภาวัฒนกุล (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (KCG) รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 Company ในฐานะบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ประจำปี 2568 จากนายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ (ซ้าย) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ สำนักงานใหญ่ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เขตพระโขนง กรุงเทพฯ

นายตง ธีระนุสรณ์กิจ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (KCG) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ประกาศให้ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (KCG) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2568 ด้วยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และบริษัทได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2

"บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนาด้านการบริหารห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืนและการสร้างวัฒนธรรมด้านนวัตกรรมองค์กรและเทคโนโลยี คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมผ่านการใช้พลังงานทดแทนจากพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ เพิ่มสัดส่วนการใช้รถขนส่งพลังงานไฟฟ้า การร่วมมือกับคู่ค้าในการปรับเส้นทางการจัดส่งสินค้าให้มีประสิทธิภาพ พร้อมนำระบบการทำงานและเครื่องจักรมาใช้เพื่อลดความเสี่ยงในการทำงานของพนักงาน"

นายดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (KCG) กล่าวต่อว่า "โดยในปี 2567 บริษัทฯ ได้เปิดดำเนินการ KCG Logistics Park เพื่อเป็นศูนย์กระจายสินค้าตามกลยุทธ์ Green Supply Chain ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานและสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพครบวงจรบริษัทฯ ตระหนักดีว่า เหล่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการเดินทางสู่ความยั่งยืน จึงยึดมั่นในการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน พัฒนาการเติบโต ทั้งภาคธุรกิจและมิติ ESG ผสานเป็นเนื้อเดียวกัน เพื่อเป็นก้าวสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ดียิ่งขึ้นในระยะยาว"

โดยการจัดระดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน

สถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่สิบเอ็ดในปีนี้

การจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนโดยสถาบันไทยพัฒน์ เป็นการประเมินอย่างเป็นอิสระในฐานะหน่วยงานภายนอก โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ เทียบกับชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ตามเกณฑ์และหลักการภายใต้แนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]