Thaipat Institute

GRI Certified Training Partner นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2556

รู้จัก    CG   ¦   ESG   ¦   CSR   ¦   CSV   ¦   SD   ¦   SE   ¦   SB

ข่าวประชาสัมพันธ์

ปีก่อนหน้า    ปีปัจจุบัน

สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะ Certified Training Partner ของ GRI ในประเทศไทย จะจัดอบรมหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพด้านความยั่งยืน ในรายวิชาการรายงานข้อมูลด้านสิทธิมนุษยชนตามมาตรฐาน GRI "Reporting on Human Rights with GRI Standards" (ระยะเวลาครึ่งวัน) ในรูปแบบออนไลน์ ในวันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม 2568 เวลา 13:00-16:30 น. (ข้อมูลเพิ่มเติม)

 


ท่ามกลางกระแสความตื่นตัวด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ประเทศไทยกำลังเผชิญทางแยกเชิงกลยุทธ์ครั้งสำคัญในยุคปัญญาประดิษฐ์ โดยมีความเสี่ยงสูงที่จะติดกับดักการเป็นเพียง ‘ผู้บริโภค’ เทคโนโลยี (AI Consumer) ซึ่งจะส่งผลเสียต่อความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ประเทศต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการใช้ AI เป็นผลิตภัณฑ์ ไปสู่การใช้ AI เป็น ‘ทรัพยากร’ (AI as a Resource) เพื่อสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ (อ่านต่อ)

• เอกสารนำเสนอ ‘Rebalancing Strategy Towards Economic Sustainability’

 


สถาบันไทยพัฒน์ มอบประกาศนียบัตร ESG Emerging Company แก่บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) (OKJ) ในฐานะบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล กลุ่ม ESG Emerging ประจำปี 2568 ด้วยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน (รายละเอียด)

 


สถาบันไทยพัฒน์ ทำการประเมินบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance) ติดอันดับ ESG100 ปี 68 และประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ที่เข้าทำเนียบ ESG100 เป็นครั้งแรก พร้อมเปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์ที่มีผลประกอบการพลิกฟื้นกลุ่ม ESG Turnaround เป็นปีที่สาม ให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน ต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 (อ่านต่อ)

ไทยพัฒน์ เปิดโผ 13 หุ้น ESG เข้าใหม่ ปี 68
Thaipat adds 13 New Securities in ESG100 Universe
ก้าวสู่ปีที่ 11 กับการประมวลทำเนียบหุ้น ESG100

 


สถาบันไทยพัฒน์ จัดอบรมรายวิชา Double Materiality (ระยะเวลา 1 วัน) ในวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2568 ถ่ายทอดเนื้อหาและวิธีการประเมินทวิสารัตถภาพตามแนวทางในมาตรฐาน ESRS สำหรับผู้ที่มีวิชาชีพด้านความยั่งยืน และผู้ที่ต้องการพัฒนาวิชาชีพเพื่อการทำงานในสาขาความยั่งยืน (ข้อมูลเพิ่มเติม)

ข้อมูลความยั่งยืน มีสองเวอร์ชัน
การพัฒนาความยั่งยืนจาก 'องค์กร' สู่ 'องค์รวม'
เหรียญ 2 ด้านของความยั่งยืน
หลักการชี้แนะสำหรับการรายงานความยั่งยืน

คุณฑิตยนันท์ บุณยรัตพันธุ์คุณสิริกร จันทร์มา

 


สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะ Certified Training Partner ของ GRI ในประเทศไทย จัดอบรมหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพด้านความยั่งยืน ในรายวิชา GRI Standards Certified Training Course (ระยะเวลา 2 วัน) เมื่อวันพุธและพฤหัสบดีที่ 7-8 พฤษภาคม 2568 (ข้อมูลเพิ่มเติม)

มาตรฐาน GRI กับความเข้าใจผิดเรื่องความยั่งยืน
ไทยติดอันดับประเทศที่มีการรายงานความยั่งยืนสูงสุด

 


ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย หนึ่งในเครือบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใหญ่ที่สุดของโลก เข้าเป็นแนวร่วมอุณหภิบาล ในฐานะบริษัทแนวหน้าด้านการกำกับดูแลกิจการที่เกี่ยวโยงกับสภาพภูมิอากาศที่ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ (รายละเอียด)

 


รายงานสถานภาพความยั่งยืนของกิจการ ปี 2567 เป็นการประมวลสถานการณ์การเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนที่เป็นภาพรวมในระดับสากล และในประเทศไทย ผ่านมุมมองของการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของกิจการ ซึ่งรวบรวมจากบริษัทจดทะเบียน 838 แห่ง กองทุนและองค์กรอื่นๆ อีก 92 ราย รวมทั้งสิ้น 930 ราย รวมทั้งการนำเสนอกรอบการเปิดเผยข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงตามเรื่องความยั่งยืนที่เร่งด่วน (รายละเอียด)

 


สถาบันไทยพัฒน์ จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่าน Webinar ครั้งที่ 1 สำหรับองค์กรสมาชิกประชาคมการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน หรือ Sustainability Disclosure Community (SDC) เพื่อส่งเสริมให้องค์กรสมาชิกได้รับความรู้และข้อมูลล่าสุดของมาตรฐานการรายงานสากล GRI Standards ในหัวข้อ Second set of GRI Labor Standards: Working life and career development เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 (รายละเอียด)

 


ด้วยความจำกัดของงบการเงินที่เป็นข้อมูลซึ่งสะท้อนถึงผลการดำเนินงานในอดีต ไม่สามารถให้ภาพที่สมบูรณ์เพียงพอต่อการตัดสินใจลงทุน เป็นเหตุให้หน่วยงานผู้จัดทำมาตรฐาน IFRS โดยคณะกรรมการ ISSB จำเป็นต้องออกมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับความยั่งยืนเพิ่มเติม เพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้ข้อมูลให้ทันกับสถานการณ์และปัจจัยการดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนไป.. (อ่านต่อ)

ใช้ ISSB มาตรฐานเดียว ไม่พอตอบโจทย์ความยั่งยืน
ข้อมูลความยั่งยืน มีสองเวอร์ชัน

 


สถาบันไทยพัฒน์ มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดงานแถลง ทิศทาง ESG ปี 2568: จาก ‘วิถียั่งยืน’ สู่ ‘วิสัยยั่งยืน’ และการเสวนาเรื่อง ‘ESG from the Right Paradigm’ ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 5 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สี่แยกปทุมวัน ถนนพระราม 1 (รายละเอียด)

กำหนดการ
ข่าวประชาสัมพันธ์
เอกสารในช่วงการนำเสนอทิศทาง ESG ปี 2568
เอกสารในช่วงเสวนา ESG from the Right Paradigm

 


สถาบันไทยพัฒน์ ได้ทำการประเมินแนวโน้มความเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ของภาคธุรกิจ ประจำปี พ.ศ. 2568 ภายใต้รายงานที่มีชื่อว่า 2025 ESG Trends: จาก ‘วิถียั่งยืน’ สู่ ‘วิสัยยั่งยืน’ ความหนา 34 หน้า สำหรับหน่วยงานและองค์กรธุรกิจที่กำลังดำเนินอยู่ในวิถีการพัฒนาที่ยั่งยืน สามารถใช้ประเด็นด้าน ESG ในการปรับแนวและจุดเน้นขององค์กรให้สอดรับกับขีดความสามารถของกิจการ เพื่อขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืนอย่างมีสมรรถภาพ

สถาบันไทยพัฒน์ ได้จัดทำหนังสือ กรอบการรายงานความยั่งยืนเฉพาะกิจ: ตระกูล TxFD ความหนา 38 หน้า ที่เป็นกรอบการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับภูมิอากาศ (TCFD) การเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับธรรมชาติ (TNFD) และการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับสังคมและความเหลื่อมล้ำ (TISFD) เพื่อให้องค์กรธุรกิจได้รู้เท่าทันความเคลื่อนไหวในบริบทของการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวกับความยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง

 


ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความเคลื่อนไหวเรื่อง ESG จากที่เป็นการขับเคลื่อนในแวดวงตลาดทุนที่มีความมุ่งประสงค์ให้บริษัทที่ลงทุน ดำเนินกิจการให้มีกำไรที่ดีพร้อมกันกับดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นไปด้วย ได้ก่อกำลังขึ้นจนพัฒนาเป็นวาระที่มีความเกี่ยวโยงกับฝ่ายการเมือง เนื่องจากการกำหนดนโยบายมหภาคด้าน ESG มีผลต่อทิศทางความเป็นไปของเศรษฐกิจโดยรวม.. (อ่านต่อ)

แนวโน้ม ESG ปี 2568 ในโลกที่เอียงขวา
3 แนวโน้มสำคัญด้าน ESG ปี 2568

 


สถาบันไทยพัฒน์ จัดตั้ง ศูนย์อุณหภิบาล สนับสนุนภาคธุรกิจรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พัฒนาเครื่องมือบริหารมลอากาศในขอบข่ายที่ 3 ที่ตอบโจทย์ทั้งการจัดการความเสี่ยงและสร้างโอกาสผ่านห่วงโซ่การผลิต (อ่านต่อ)

ข่าวประชาสัมพันธ์
แนวร่วมอุณหภิบาล
ที่มาของการตั้งศูนย์อุณหภิบาล

 


สถาบันไทยพัฒน์ นำเสนอแผนขับเคลื่อนความยั่งยืน ESG Triple Up Plan สำหรับกิจการซึ่งมุ่งประสงค์ที่จะลดความเสี่ยง (Risks) ทางธุรกิจ และเพิ่มโอกาส (Opportunities) ทางการตลาด รวมทั้งสร้างให้เกิดผลกระทบ (Impacts) ทางบวกจากการประกอบธุรกิจในปี 2568 (อ่านต่อ)

 


สถาบันไทยพัฒน์ จัดเสวนาแนะนำเครื่องมือ S3ER (Scope 3 Emission Reduction) สำหรับกิจการใช้คำนวณข้อมูลมลอากาศในขอบข่ายที่ 3 (Scope 3) เพื่อนำไปสู่การบริหารมลอากาศในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) และเครื่องมือ TCAF (Thaipat Carbon Attribution Factors) สำหรับสถาบันการเงินเพื่อใช้คำนวณและจัดการมลอากาศที่สืบเนื่องจากการลงทุนและการให้สินเชื่อ (Financed Emissions)

• เอกสารนำเสนอ "S3ER: Tool to address Scope 3 Emissions"
• เอกสารนำเสนอ "TCAF: Tool to address Financed Emissions"

 


แนะนำเครื่องมือ Double Materiality
ทวิสารัตถภาพ เครื่องมือความยั่งยืนเทียบสากล External Link

 



สถาบันไทยพัฒน์ ได้รับการรับรองจากองค์การแห่งความริเริ่มว่าด้วยการรายงานสากล (Global Reporting Initiative: GRI) ให้เป็น GRI Certified Training Partner นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2556

ไทยพัฒน์เข้าเป็นหุ้นส่วนฝึกอบรมที่ได้รับการรับรองจาก GRI
Thaipat Institute becomes the GRI Training Partner in Thailand
รายละเอียดหลักสูตรฝึกอบรม

 


สถาบันไทยพัฒน์ ประกาศก่อตั้ง Transition School โรงเรียนเตรียมธุรกิจเพื่อการประกอบการที่ยั่งยืน ให้พร้อมเปลี่ยนผ่านสู่อนาคต ท่ามกลางความผันผวนทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมโลก (อ่านต่อ)

วาระ ESG : วาระของ ‘กรรมการพิชาน’
ไทยพัฒน์ ตอบโจทย์ความผันผวนโลก รุกตั้ง Transition School

 


สถาบันไทยพัฒน์ ได้เปิดช่องทางการติดต่อสื่อสารผ่าน LINE@ สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูล หรือต้องการรับข่าวสาร และติดตามความเคลื่อนไหวในงานด้านต่างๆ อาทิ หลักสูตรด้านความยั่งยืน บริการใน Sustainability Store งานบริการให้ความเชื่อมั่น (Assurance Service) ต่อรายงานแห่งความยั่งยืน ตามมาตรฐานสากล ฯลฯ
ท่านสามารถเพิ่มเพื่อนโดยระบุชื่อบัญชี LINE ID:
@thaipat หรือคลิกที่ปุ่ม Add Friends
เพิ่มเพื่อน

 






โอ้กะจู๋ (OKJ) ติดโผหุ้นกลุ่ม ESG Emerging ปี 68


18 มิถุนายน 2568 – บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) (OKJ) ผู้ให้บริการและจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ได้รับคัดเลือกให้เป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) เข้าอยู่ในกลุ่มบริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน หรือ ESG Emerging List ปี 2568

สถาบันไทยพัฒน์ ประกาศให้ บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) (OKJ) เป็นหนึ่งในรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่น่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging ปี 2568 ด้วยการคัดเลือกจาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน โดยใช้ข้อมูลด้าน ESG ที่ปรากฏในการเปิดเผยข้อมูล การดำเนินงานที่สะท้อนปัจจัยด้าน ESG และความริเริ่มหรือลักษณะธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับประเด็นด้าน ESG ของกิจการ


นายชลากร เอกชัยพัฒนกุล (คนขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) (OKJ) รับมอบประกาศนียบัตร ESG Emerging Company ปี 2568 จากนายพิพัฒน์ ยอดพฤติการ (คนซ้าย) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ณ สำนักงานใหญ่ บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) อาคาร The Rice เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร

นายชลากร เอกชัยพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "บริษัทฯให้ความสำคัญกับการพัฒนาเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน ผ่านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและรักษาคุณภาพของสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐานระดับสากล รวมทั้งเป็นผู้สร้างบรรทัดฐานการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ชุมชนและสังคม ผ่านโครงการส่งเสริมอาชีพแก่เกษตรกรในท้องถิ่น และการสนับสนุนการทำเกษตรอินทรีย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคำนึงถึงการใช้พลังงานสะอาดในการดำเนินธุรกิจ โดยมีการติดตั้งและวางระบบพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาที่โรงเรือนเพาะปลูก ครัวกลางและร้านอาหารของบริษัทฯ ในจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงได้วางแผนศึกษาแนวทางการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันเกิดจากการดำเนินธุรกิจ และจัดทำคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กรที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล"


การจัดอันดับหลักทรัพย์ที่น่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่กันในกระบวนการประเมิน

สำหรับสถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG Emerging เป็นครั้งแรกในปี 2563

การจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจในกลุ่มบริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน หรือ ESG Emerging List ถือเป็นแหล่งข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน เพื่อรองรับความต้องการของผู้ลงทุนที่ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ และเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีคุณภาพและได้รับผลตอบแทนที่มิได้ด้อยไปกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป

ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณศิตา ศิริศักดิพร
โทรศัพท์: 02-930-5227 โทรสาร: 02-930-5228
อีเมล: info@thaipat.org



[ข่าวประชาสัมพันธ์]



แปลงความยั่งยืนจาก Compliance เป็น Competence


จากสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในปัจจุบัน ที่มีปัจจัยลบทางเศรษฐกิจรุมเร้า ทั้งจากปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า และความไม่สงบในตะวันออกกลางที่กำลังส่อเค้าปะทุบานปลาย

ธนาคารโลกได้คาดการณ์ตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจโลกลดลงเหลือ 2.3% และของประเทศไทยที่ถูกปรับลดเหลือ 1.8% ในปี 2568 ทำให้กิจการที่ต้องทำเรื่อง ESG (Environmental, Social and Governance) ตามข้อกำหนด ต่างดิ้นรนหาทางจำกัดการดำเนินงานให้มีภาระน้อยสุด หรือไม่ก็ต้องใช้ประเด็นด้าน ESG ในแง่ของการเพิ่มสมรรถนะการปฏิบัติงาน (Competence) เพื่อลดค่าใช้จ่าย หรือที่ดีสุดคือ ใช้สร้างให้เกิดเป็นรายได้ของกิจการ

แม้การเริ่มต้นของฝ่ายความยั่งยืน หรือหน่วยงาน ESG ในกิจการโดยส่วนใหญ่ จะมีที่มาจากการตอบสนองต่อความต้องการของผู้ลงทุน และความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสีย ในแง่ของการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ (Compliance)

ด้วยปัจจัยลบทางเศรษฐกิจดังกล่าว ทำให้ฝ่ายความยั่งยืน จำต้องปรับเปลี่ยนบทบาทจากการมุ่งเน้นงานแบบรายโครงการ โดยมีการจัดสรรงบประมาณสำหรับดำเนินงาน และมีตัวชี้วัดแยกต่างหาก มาสู่การผลักดันให้มีการผนวกเรื่องความยั่งยืนไว้ในสายงานต่าง ๆ โดยมีตัวชี้วัดร่วมที่มุ่งตอบโจทย์ในบรรทัดสุดท้ายเดียวกันของกิจการ

จากผลการสำรวจของ KPMG เกี่ยวกับช่องว่างการดำเนินกลยุทธ์ในการรายงานความยั่งยืน ในปี 2567 ระบุว่า 76% ของกิจการ กำลังดำเนินแผนปรับโครงสร้างของทีมงาน เพื่อปรับแนวกลยุทธ์ธุรกิจและความยั่งยืนให้สอดคล้องกันยิ่งขึ้น

โดยหนึ่งในตัวอย่างการปรับบทบาทของฝ่ายความยั่งยืน คือ การแปลงรูปแบบศูนย์กลางและเครือข่าย (hub-and-spoke model) เพื่อทำหน้าที่ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในองค์กร ด้วยการร่วมพัฒนาความริเริ่มที่เกี่ยวกับความยั่งยืน การระดมความเชี่ยวชาญในสายงาน และสร้างสถานะความเป็นเจ้าของร่วมกัน แทนที่จะเป็นการพัฒนาโครงการโดยฝ่ายความยั่งยืนเพียงลำพัง และขับเคลื่อนโดยใช้วิธีขอข้อมูลหรือขอความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ในกิจการ

ในอีกนัยหนึ่ง ฝ่ายบริหารต้องส่งสัญญาณให้หน่วยงานต่างๆ เห็นพ้องกันว่า ฝ่ายความยั่งยืน มีฐานะเป็นหุ้นส่วนการทำงานร่วมกับฝ่ายอื่น ๆ มิใช่หน่วยงานกำกับการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ด้านความยั่งยืนที่ทำงานได้โดยลำพัง

ทั้งนี้ กิจการสามารถขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนในแง่ของการเพิ่มสมรรถนะการปฏิบัติงานได้ใน 3 ขั้นตอน คือ

(1) ผนวกประเด็นความยั่งยืนไว้ในกลยุทธ์แกนหลัก เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างความยั่งยืนกับการเติบโตทางธุรกิจ การประหยัดต้นทุน และนวัตกรรม

(2) ระบุปริมาณและผสมผสานเข้ากับตัวบ่งชี้ทางการเงิน โดยการทำงานร่วมกันระหว่างทีมงาน ESG และแผนกการเงิน ในการบ่งชี้ถึงผลได้ทางการเงินอันเกิดจากปัจจัยความยั่งยืนที่สามารถขยายผลข้ามสายงาน

(3) วางกรอบในการสื่อความใหม่ ด้วยการปรับสถานะ ESG ให้เป็นวิถีทางสำหรับปรับปรุงผลประกอบการและสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน มากกว่าการใช้เป็นกรอบการปฏิบัติเพียงเพื่อให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์

โดยกิจการสามารถออกแบบความร่วมมือและให้ความรู้ด้านความยั่งยืนแก่หน่วยงานในแบบฉบับที่เหมาะสมเฉพาะกลุ่ม (Customize Collaboration) โดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์ตามหน้าที่ ตัวชี้วัดความสำเร็จ และความท้าทายที่ต้องเผชิญ

ประการต่อมา คือ การระบุแหล่งนวัตกรรมในกิจการ (อาทิ ฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายวิจัยและพัฒนา ฝ่ายปฏิบัติการ หรือฝ่ายกลยุทธ์) และการทำงานร่วมกันเพื่อเปิดทางให้เกิดโอกาสในการลดต้นทุนหรือการสร้างรายได้ (Show Me the Money)

นอกจากนี้ กิจการควรปล่อยให้มีการหารือภายในทีมต่อการกำหนดเป้าหมายดำเนินงาน และเห็นชอบให้มีการโยงผลการดำเนินงานความยั่งยืนในแต่ละแผนกเข้ากับการจัดสรรเงินรางวัลประจำปีให้แก่ระดับผู้บริหาร (Incentivize at all Management Levels)

และที่สำคัญ กิจการควรเสาะแสวงหาข้อแนะนำที่เป็นกลางต่อโครงสร้างการกำกับดูแลที่ท้าทายต่อสถานะภายในดังที่เป็นอยู่เดิม (Revisit Governance Structure) ที่ไม่เพียงช่วยตัดทอนอคติและการทำงานแบบต่างฝ่ายต่างทำ แต่ยังให้เอื้อให้เกิดการผนวกการทำหน้าที่สร้างรายได้ให้แก่กิจการ

ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจยังเติบโตได้เป็นปกติ มีความเชื่อว่า กิจการต้องการยกระดับเรื่องความยั่งยืนจากภาคบังคับ (Mandatory) สู่ภาคสมัครใจ (Voluntary) ด้วยการทำให้มากขึ้นหรือดีกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด ก็เพื่อสร้างความแตกต่างที่โดดเด่นให้ทิ้งห่างผู้เล่นรายอื่นในธุรกิจ

แต่ในปัจจุบัน ด้วยภาวะที่เศรษฐกิจมีการเติบโตต่ำ เราได้เห็นหลายกิจการกำลังแปลงความยั่งยืนในแบบ Compliance ให้เป็นแบบ Competence มิใช่เพราะธุรกิจต้องการทำให้น้อยลงหรือทำเท่าที่เกณฑ์ขั้นต่ำกำหนด แต่เป็นการปรับแนวให้เรื่องความยั่งยืนที่ดำเนินการ (ไม่ว่าจะทำมากขึ้นหรือน้อยลง) สามารถนำไปสู่การลดต้นทุนและการเพิ่มรายได้ให้แก่กิจการ ซึ่งเป็นโจทย์ในบรรทัดสุดท้ายเดียวกันกับการดำเนินธุรกิจนั่นเอง


[Original Link]